- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
“พิชัย” ห่วงวิธีคิดรัฐบาลทำเศรษฐกิจไทยทรุดยาว แนะปรับ ครม.เศรษฐกิจทั้งชุด โดยเฉพาะหัวหน้าทีม
วันนี้ (19 พ.ย.) ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวในงานเสวนาโต๊ะกลม หัวข้อเรื่อง “หลักปกครองต้องรักษาไว้ ชาติบ้านเมืองต้องมาก่อนความขัดแย้ง” ในหัวข้อ “แนวทางการแก้ไขภาวะเศรษฐกิจของชาติ” ว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ขยายตัวได้เพียง 2.4% ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ต่ำมาก และต่ำมาตลอด 3 ไตรมาสของปีนี้ แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล และเป็นผลมาจากความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจในอดีตมาตลอด 5 ปี ซึ่งจะส่งผลให้เห็นความล้มเหลวเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ
นอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและชิมช้อปใช้ที่รัฐบาลภูมิใจนักหนา และดูเหมือนจะเป็นนโยบายเดียวที่ประชาชนรับรู้ แต่กลับไม่ได้ส่งผลต่อดีต่อเศรษฐกิจเลย เท่ากับเสียเงินไปเปล่าๆโดยไม่เกิดการพัฒนาความสามารถแข่งขันของประเทศ อีกทั้งการเจริญเติบโตที่ต่ำจะส่งผลต่อการว่างงานที่จะเพิ่มขึ้นในปีหน้ารวมกว่า 500,000 คน และหนี้เสียในระบบธนาคารที่จะมีมากขึ้นจากโรงงาน บริษัท และห้างร้านที่ขาดทุนจนต้องปิดตัว
ขณะที่เศรษฐกิจไทยทรุดหนัก ประชาชนลำบากกันอย่างมากแล้ว แทนที่รัฐบาลจะหาแนวทางแก้ไขและชี้แจงกับประชาชน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กลับบอกว่าการขยายตัวเพียง 2.4% ถือว่าดี ถ้าแบบนี้ดีก็คงไม่มีอะไรแย่แล้ว และยังเปรียบเทียบว่าประเทศไทยไม่ได้แย่ขนาดนั้น ที่อื่นยังแย่กว่าเรา ซึ่งการเปรียบเทียบในลักษณะว่าฉันแย่แล้วแต่คนอื่นแย่กว่าแบบนี้ควรจะต้องเลิกได้แล้ว เพราะไม่ได้ช่วยให้ประเทศดีขึ้น และไม่ใช่หลักคิดในการบริหาร ไม่ได้ช่วยแก้ไขความลำบากให้กับประชาชน และแนวทางที่นายสมคิดนำเสนอ เช่น การเชื่อมต่ออาเซียน ไทยเป็นศูนย์กลาง ก็เป็นแนวทางเดิมๆที่พูดซ้ำๆมากว่า 5 ปีแล้ว แต่กลับไม่เกิดผล และไม่มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นเลย เห็นได้จากการที่ไทยยังโตต่ำที่สุดในอาเซียนที่มีฐานเศรษฐกิจเหมือนกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่เชื่อถือของประชาคมโลกที่มีต่อรัฐบาลพลเอกประยุทธ์
ที่หนักยิ่งกว่าและดูเหมือนจะปิดสมองไม่รับรู้ปัญหาเหมือนที่ผ่านมา 5 ปี แทนที่รัฐบาลจะรับฟังความเห็นของผู้เห็นต่างและฟังการวิจารณ์เพื่อนำไปปรับปรุงการบริหารที่ย่ำแย่ หรือออกมาชี้แจงด้วยเหตุด้วยผล รัฐบาลกลับส่งคนที่ไม่มีต้นทุนทางสังคมออกมาพูดซ้ำๆเพื่อต่อว่าและดิสเครดิตคนวิจารณ์ ซึ่งแนวคิดที่พูดทำให้คนอื่นดูแย่เพื่อทำให้ตัวเองที่ดูแย่อยู่แล้วดูแย่น้อยลงเป็นแนวคิดที่ตกยุคหมดสมัยแล้ว และยิ่งตอกย้ำว่ารัฐบาลหมดหนทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจแล้วจึงต้องใช้วิธีคิดแบบด้อยพัฒนานี้ เพราะเรื่องแจกเงินสะเปะสะปะที่ตนเตือนก็เหมือนกับที่ไอเอ็มเอฟเตือน และตนก็ได้เตือนก่อนไอเอ็มเอฟ อีกทั้ง WEF ยังเตือนถึงความล้มเหลวของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลควรจะต้องรับฟังและนำไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไข
ทั้งๆที่ 5 ปีรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ไม่มีผลงานทางด้านพลังงานอะไรเลย นอกจากการให้บริษัทลูกของ กฟผ. ซื้อหุ้นบริษัทถ่านหินของอินโดนีเซีย ใช้เงินกว่า 1.17 หมื่นล้าน ได้หุ้นเพียง 11-12% และตอนนี้น่าจะขาดทุนหนักเพราะราคาหุ้นทรุด สาเหตุจากราคาถ่านหินทรุดหนัก เพราะโลกกำลังจะเลิกใช้ถ่านหินแล้ว และตนเองก็ได้เตือนไว้แล้วขณะนั้น และเชื่อว่าต้องมีการทุจริตแน่นอน เพราะไม่มีเหตุผลที่จะไปซื้อหุ้นบริษัทถ่านหินนี้เลย และขอฝาก ป.ป.ช. และฝ่ายค้านให้ตรวจสอบการทุจริตในเรื่องนี้ด้วย เพราะเรื่องนี้น่าจะชัดกว่าเรื่องโรงไฟฟ้าขนอมของบริษัทซิโน-ไทย
ในขณะที่ในอดีตตนได้ยกเลิกเบนซิน 91 ทำให้มีการใช้เอทานอลมากขึ้น จาก 1 ล้านกว่าลิตร เพิ่มถึง 4 ล้านลิตรต่อวัน ทำให้เพิ่มเงินหมุนเวียนภายในประเทศปีละกว่า 24,000 ล้านบาท การปรับลดการสนับสนุนราคาไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เพื่อลดค่าไฟฟ้า การยกเว้นการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันลดลงเพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงลำบาก ในขณะที่รัฐบาลนี้เพิ่มภาษีน้ำมันดีเซลอย่างมากถึงลิตรละ 6 บาท การออกบัตรเครดิตการ์ดพลังงานเพื่อเป็นวงเงินเครดิตและลดค่าพลังงาน แนวเดียวกับเครดิตการ์ดเกษตรกรที่ส่งเสริมประชาชนให้หารายได้โดยการทำงาน ไม่เหมือนบัตรคนจนที่นำแนวคิดบัตรเครดิตไปใช้เหมือนกัน แต่แจกเงินฟรี ไม่ส่งเสริมคนทำงาน และที่สำคัญตนได้ตั้งศูนย์แก้ไขน้ำท่วมเพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงน้ำท่วมใหญ่ขณะนั้นที่กระทรวงพลังงาน ขนาดพลเอกประยุทธ์ยังต้องส่งทหารมาขอใช้พื้นที่ในกระทรวง ถ้าหากพลเอกประยุทธ์ยังจำได้ ดังนั้น อย่าให้คนไม่มีต้นทุนทางสังคมที่ไม่มีความรู้ออกมาพูดมั่วๆ เพราะสุดท้ายจะสะท้อนภาพลักษณ์ของรัฐบาลเองที่ไม่มีผลงาน แต่กลับพยายามปิดกั้นการรับรู้ความคิดเห็น
นอกจากนี้พลเอกประยุทธ์เองจะต้องหาความรู้ทางเศรษฐกิจมากๆเหมือนที่ตนเคยเตือนมาหลายครั้ง การพูดผิดๆมาตลอดแล้วต้องคอยมาแก้ตัวยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นลดลงจนไม่เหลือ ขนาดเด็กยังนำมาแปรอักษรล้อเลย อย่างเช่นล่าสุดการจะนำเงินประกันสังคมออกมาปล่อยกู้ ซึ่งทำไม่ได้เพราะผิดข้อกำหนด อีกทั้งยังจะทำให้เกิดความเสี่ยงกับกองทุนที่จะเสียหายได้ เป็นต้น ดังนั้น หากไม่รู้จริงก็ไม่ควรพูด
ที่กล่าวมาทั้งหมดจะพบว่าปัญหาหลักทางเศรษฐกิจของรัฐบาลอยู่ที่หลักคิดของรัฐบาล ดังนั้น แนวทางการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจคงไม่สามารถทำได้ เพราะคงไปเปลี่ยนแนวคิดของรัฐบาลลำบาก คิดไม่ได้ก็คือคิดไม่ได้ ซึ่งหากคิดได้แค่นี้เศรษฐกิจไทยคงทรุดยาว ดังนั้น หากจะต้องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ได้ผลคงจะต้องปรับ ครม.เศรษฐกิจทั้งหมด โดยเฉพาะต้องปรับหัวหน้าทีมเศรษฐกิจก่อนใครเพื่อน โดยต้องหาคนที่มีความรู้ความสามารถและรู้เรื่องจริงเข้ามาทำงานแทนทั้งหมด
You must be logged in to post a comment Login