- ปัญหายาเสพติดวาระแห่งชาติPosted 22 hours ago
- แก่อย่างไม่มีคุณค่าPosted 2 days ago
- “ทักษิณ” ยังมีมนต์ขลังPosted 3 days ago
- อย่าไปอินPosted 6 days ago
- ปีดับคนดังPosted 7 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 week ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 1 week ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 1 week ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 2 weeks ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 2 weeks ago
9สมาคมอุตสาหกรรมชี้เตรียมเผชิญ4วิบัติเศรษฐกิจไทยปีหน้าหากเร่งรัดแบน3สารเคมีเกษตร
สมาคมนักวิชาการอ้อยและน้ำตาลแห่งประเทศไทย กลุ่มผู้รวบรวมข้าวโพดหวานอุตสาหกรรม สมาพันธ์เกษตรปลอดภัย สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและรำข้าว สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป และอุตสาหกรรมสิ่งทอ สงสัยการทำงานของ 3 พรรคกระทรวงใหญ่ เหตุใดเร่งรีบ แบน 3 สารเคมีเกษตร พาราควอต ไกลโฟเซต คลอร์ไพรีฟอส แถมจัดเต็มงบประมาณซื้อเครื่องจักร งบทำลายสารเคมีเกษตร เอื้อกลุ่มทุนสารเคมีทดแทน เผยเศรษฐกิจไทยเตรียมพบ 4 วิบัติจากผลพวงวิกฤตการเกษตร
นายภมร ศรีประเสริฐ อุปนายกสมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือเปิดเผยว่าการแบนสารกำจัดวัชพืชจะกระทบกับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังเป็นมูลค่า 5.8 หมื่นล้านบาทที่ผ่านมาไทยส่งออกมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด สร้างรายได้เข้าประเทศนับแสนล้านบาท และเป็นที่ยอมรับจากประเทศคู่ค้าไม่เคยพบปัญหาสารตกค้าง จึงมองว่ารัฐควรพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจทำอะไร ล่าสุด นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้นำภาคธุรกิจมันสำปะหลังไปทำข้อตกลงเปิดตลาดส่งออกซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ตอนนี้กังวลว่าจะผลิตมันสำปะหลังส่งออกให้กับตลาดเหล่านี้ได้อย่างไร มันสำปะหลังมีความจำเป็นต้องใช้สารกำจัดวัชพืชเครื่องจักรกลไม่สามารถใช้ได้ ปัจจุบัน มันสำปะหลังใช้เป็นวัตถุดิบในอาหารสัตว์ หากต้นทุนสูงขึ้นจะเป็นการเปิดโอกาสและสนับสนุนการนำเข้าวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำกว่าเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และส่งผลกระทบต่อเกษตรกรกว่า 1.5 ล้านคน และอุตสาหกรรมมันสำปะหลัง
ดร.กิตติ ชุณหวงศ์ นายกสมาคมนักวิชาการอ้อยและน้ำตาลแห่งประเทศไทยให้ข้อมูลว่าประเทศไทยเป็นผู้ผลิตอันดับที่ 5 และส่งออกน้ำตาลอันดับที่ 2 ของโลก ด้วยพื้นที่ปลูกอ้อยประมาณ 11 ล้านไร่ ผลผลิตอ้อยรวมประมาณ 134 ล้านตันต่อปี ทั้งนี้ การแบนสารเคมีเกษตร คาดการณ์ผลผลิตจะลดลง 20%-50% หากไม่ใช้สารพาราควอตในช่วงอ้อยย่างปล้อง จะทำให้อ้อยหายไปสูงสุดถึง 67 ล้านตันต่อปี ซึ่งมีมูลค่าถึง 1.5 แสนล้านบาท เกษตรกรสูญรายได้ไปกว่า 5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังสะเทือนมูลค่าอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลโดยรวมทั้งหมด 3 แสนล้านบาท ทำให้เกษตรกร 1.2 ล้านคน และโรงงานน้ำตาลทั้งหมด 57 โรงงาน อาจถึงขั้นเลิกทำอาชีพการเกษตร และโรงงานอาจมีการเลิกจ้างงานในที่สุด
“มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 1.7 ล้านล้านบาทต่อปี หายไปแน่นอนจากการแบน 3 สารเคมีเกษตร” นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย อธิบายว่า เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ประกอบด้วย แรงงานภาคเกษตรที่ได้รับผลกระทบ 12 ล้านคน อุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมน้ำมันถั่วเหลือง อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ อุตสาหกรรมปศุสัตว์ 1,100,000 ล้านบาทต่อปี อุตสาหกรรมอ้อย-น้ำตาลและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง 300,000 ล้านบาทต่อปี อุตสาหกรรมมันสำปะหลังและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง 300,000 ล้านบาทต่อปี อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ 15,000 ล้านบาทต่อปี
นายสุกรรณ์ สังข์วรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย กล่าวว่า หลังมติการแบนสารดังกล่าวเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2562 นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันโอชา ให้ตั้งคณะทำงาน 2 ชุด ภายใต้กระทรวงเกษตร และอุตสาหกรรม เพื่อดูผลกระทบเกษตรกร จนบัดนี้ ยังไม่มีความคืบหน้า สมาพันธ์ฯ พยายามนัดหมายหลายครั้งก็บ่ายเบี่ยงตลอดมา ทุกวันนี้รู้แต่ว่าหลังวันที่ 1 ธันวาคม จะโดนทั้งปรับและจำคุก พรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การดำเนินงานของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังคงทำตัวเป็นหลุมดำที่ไม่มีข้อสรุป หรือกลัวกระทบหุ้นส่วนนามสกุลเดียวกันที่มีความเชื่อมโยงกับบริษัทรายเดียวที่ได้รับการผูกขาดให้รับผิดชอบทำลายสารเคมีเกษตรมูลค่ารวมกว่า 2 พันล้านบาท ขณะเดียวกัน พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การดำเนินงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประกาศแบนสารเคมีเกษตรและเร่งรีบดำเนินการ โดยไม่มีมาตรการสิ่งทดแทนและเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเกษตรกร รวมทั้ง อาจเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนสารเคมีเกษตรรายใหม่ มูลค่านับหมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับ พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การดำเนินงานของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เอาใจเกษตรกรด้วยนโยบายแจกเงิน แต่ก็เตรียมของบประมาณชุดใหญ่จัดหาเครื่องจักรกลให้แก่เกษตรกร
นอกจากนี้ ข้อเสนอแบบสองมาตรฐานของทั้งองค์กรอิสระ และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดโอกาสให้นำเข้าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศที่เพาะปลูกโดยใช้สารเคมีเกษตรทั้งสามชนิดมาไทยได้ แต่ห้ามเกษตรกรไทยใช้ เท่ากับเป็นการ “ฆ่าเกษตรกร” ถึง 2 รอบ ครั้งแรก ไม่ให้ใช้สารเคมีฯ ไปหาวิธีการอื่นเพิ่มต้นทุน จนไร้กำไร และครั้งที่ 2 สนับสนุนการนำเข้าวัตถุดิบเกษตรจากต่างประเทศซึ่งมีราคาที่ต่ำกว่า และมีการใช้สามสารเคมี“เกษตรกรตายยกประเทศ” โดยเฉพาะสภาหอการค้าฯหากยังมองไม่เห็นถึงผลกระทบและความเสียหายกับประเทศชาติยังไง ก็ไม่ควรมานั่งดูเรื่องการค้า เป็นที่พึ่งพาของภาคอุตสาหกรรมไม่ได้
“ท้ายที่สุด ปีหน้า ไทยคงหนีไม่พ้น 4 วิบัติทางเศรษฐกิจ เป็นผลจากวิกฤตเกษตร ได้แก่ 1) เกษตรกรเปลี่ยนการเพาะปลูกไปยังพืชชนิดอื่น เกษตรกรชาวไร่คงต้องเลิกปลูกอ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง เพราะไม่มีพาราควอต 2) ผลผลิตในประเทศลด หันไปนำเข้าจากต่างประเทศแทน การส่งออกแข่งขันกับต่างประเทศไม่ได้ 3) ต้นทุนภาคการเกษตรสูงขึ้น รัฐบาลต้องนำเงินมาช่วยเหลือมากขึ้น ดึงเงินจากส่วนต่าง ๆ มาใช้ในนโยบายประชานิยม เกิดการจ่ายเงินเกินตัวของรัฐ 4) GDP ภาคการเกษตรลดลง ส่งผล GDP ประเทศสูญหาย การส่งออกตกต่ำสุดในประวัติการณ์ ดังนั้น จึงอยากให้รัฐทบทวนทางออกที่เหมาะสม คือ มาตรการจำกัดการใช้ 3 สารเคมีเกษตร แทนการยกเลิก ทบทวนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และผลกระทบทางเศรษฐกิจ รวมทั้ง ดำเนินการหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ครบถ้วนและทั่วถึง มีหลายคนบอกว่า มติคณะกรรมการวัตถุอันตรายเปลี่ยนไม่ได้ ผมขอถามว่า แล้วเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมาทำไมจึงมีการเปลี่ยนมติจาก 2 ครั้งแรกได้ และใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเปลี่ยนมติเดิม เพราะฉะนั้นอย่ามาบอกผมว่าเปลี่ยนไม่ได้รัฐมนตรี นักการเมือง โดยเฉพาะข้าราชการ ที่เป็นข้าของแผ่นดิน ต้องตั้งสติคิดให้ได้ว่าท่านจะพาประเทศชาติไปทางไหน” นายสุกรรณ์ กล่าวสรุป
You must be logged in to post a comment Login