วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

EA ยันปีหน้ามาแน่ รถไฟฟ้า-เรือไฟฟ้า-โรงงานแบตฯ เตรียมงบ 7.4 พันล้าน ใช้ลงทุนปี 63

On November 28, 2019

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ผู้นำด้านธุรกิจพลังงานทางเลือก เปิดเผยว่า ในปี 2563 บริษัทได้ตั้งงบประมาณสำหรับใช้จ่ายลงทุนตามแผนการดำเนินงานไว้ที่ 7,400 ล้านบาท โดยเน้นน้ำหนักไปที่โครงการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน เฟสแรก ขนาดกำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์ต่อชั่วโมงต่อปี มูลค่าลงทุนประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ แม้จะมีกำหนดการแล้วเสร็จล่าช้าไปจากแผนงานเดิมบ้าง แต่เชื่อว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2563 ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแผนงานของบริษัท เนื่องจากบริษัทสามารถใช้ฐานการผลิตที่มีอยู่แล้วของบริษัท Amita Technologies Inc., ไต้หวัน ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ทำการผลิตแบตเตอรี่เพื่อนำมาใช้ในโครงการรถยนต์ไฟฟ้า MINE SPA1 และเรือไฟฟ้า ตามแผนที่วางไว้ ทำให้บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนได้ กล่าวคือ จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้า MINE SPA1 ให้กับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนสุวรรณภูมิพัฒนา จำกัด จำนวน 3,500 คัน ตามที่ทำข้อตกลงกันไว้ รวมถึงลูกค้ารายอื่นๆ โดยจะเริ่มทยอยส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 2/63 สำหรับโรงงานประกอบรถยนต์ที่บริษัทกำลังก่อสร้างนั้น จะสามารถรองรับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าทั้งประเภทรถยนต์ไฟฟ้า รถบัสไฟฟ้า และรถบรรทุกไฟฟ้า ซึ่งบริษัทได้จัดตั้งบริษัทย่อยชื่อ บริษัท อีวีนาว จำกัด ไว้เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการผลิตเรือไฟฟ้า ซึ่งจะแล้วเสร็จและเริ่มให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปได้ในต้นปี 2563 อีกทั้งอยู่ระหว่างการสร้างโรงงานผลิตกรีนดีเซลและสารเปลี่ยนสถานะ (PCM) ที่เป็นผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปาล์มที่มีมูลค่าเพิ่มขั้นสูงและเป็นลิขสิทธิ์ของกลุ่มบริษัทเอง สามารถส่งออกและทดแทนการนำเข้า โดยงบประมาณตามแผนการลงทุนทั้งหมด 7,400 ล้านบาท จะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทและเงินกู้ยืมระยะยาว

“ในส่วนของธุรกิจใหม่ทั้งหมด ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า เรือไฟฟ้า กรีนดีเซล PCM รวมถึงแบตเตอรี่ จะเริ่มรับรู้รายได้ในปีหน้า และเมื่อผนวกกับการที่โรงไฟฟ้าทั้งหมดสามารถผลิตไฟฟ้าได้เต็มกำลัง 664 เมกะวัตต์ และประมาณการการเติบโตของธุรกิจไบโอดีเซลที่จะมีขึ้นจากการที่รัฐบาลส่งเสริมการใช้น้ำมันไบโอดีเซลจาก 7% เป็น 10% จึงจะส่งผลให้รายได้และกำไรในปี 2563 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากปี 2562” นายอมรกล่าว

ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาส 3/62 มีกำไรสุทธิจำนวน 1,678.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.71% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้มีกำไรสุทธิสำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 จำนวน 4,331.89 ล้านบาท สำหรับรายได้รวมในไตรมาส 3/62 อยู่ที่ 4,117.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.98% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้งวด 9 เดือนแรกของปี 2562 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 10,846.53 ล้านบาท นับเป็นผลประกอบการที่สูงที่สุดของบริษัท


You must be logged in to post a comment Login