วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

ปลุกระดม“ดวงตาเห็นธรรม”

On December 5, 2019

คอลัมน์ : สำนักข่าวพระพยอม

ผู้เขียน : พระพยอม กัลยาโณ

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่  5 ธ.ค. 62)

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ในฐานะประธานปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ฝ่ายสาธารณูปการของ มส. เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข (สร้างสัปปายะสู่วัดด้วยวิถี 5 ส) ของคณะสงฆ์กรุงเทพฯ และกล่าวว่า โครงการนี้เป็น 1 ใน 14 โครงการของ มส. ในการดำเนินงานปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ซึ่งกำหนดแผนระยะเวลาถึงปี 2564 จากนั้นจะสรุปผลการดำเนินงาน

ในการดำเนินงานปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนานั้น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ถือเป็นฝ่ายเลขานุการของทั้ง 14 โครงการ ซึ่งในช่วงที่นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล พศ. ทาง พศ. ก็มีการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี แต่ช่วงหลังรู้สึกว่าจะแผ่วไปหน่อย จึงอยากขอให้ทำงานกระชับมากขึ้น ทั้งช่วยกันติดตามงานด้วย เพราะเป็นงานที่ พศ. จะปฏิเสธไม่ได้

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์บอกว่า สำหรับโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุขนี้ ปัจจุบันนอกจาก จ.ปทุมธานีแล้ว มีหลายจังหวัดที่ขับเคลื่อนได้เป็นอย่างดี โดยล่าสุดพบว่าคณะสงฆ์ จ.ลพบุรีดำเนินงานโครงการนี้อย่างจริงจังมากจนมีจำนวนวัดที่เข้าร่วมโครงการติด 1 ใน 10 ของประเทศ แต่ในส่วนของคณะสงฆ์กรุงเทพฯพบว่ายังไม่เป็นไปตามเป้าหมายเท่าที่ควร ยังไม่จริงจังเท่าใดนัก อยากให้คณะสงฆ์กรุงเทพฯเป็นหลัก เป็นต้นแบบในเรื่องนี้ เพราะมีบุคลากรที่มีศักยภาพ ซึ่งโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุขนี้ จะช่วยให้วัฒนธรรมเก่าๆของชาวพุทธกลับมาได้ เพราะจะทำให้วัดเป็นศูนย์กลางชุมชน ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาวัด และจะทำให้พระพุทธศาสนามีความมั่นคง

พระธรรมรัตนาภรณ์ (สมศักดิ์ โชตินฺธโร) เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข ฝ่ายสาธารณูปการของ มส. กล่าวว่า โครงการนี้เป็นมติ มส. ซึ่งทุกวัดต้องปฏิบัติตาม อีกทั้งยังเป็นโครงการที่ทำให้เกิดผลดีกับทุกวัด ช่วยให้เจ้าอาวาสแต่ละวัดมีระบบคิดในการพัฒนาวัด ไม่ใช่พัฒนาตามความรู้สึก ซึ่งในส่วนของคณะสงฆ์กรุงเทพฯนั้น มองว่าต้องอาศัยผู้ว่าฯ ผอ.สำนักงานเขตในแต่ละเขต เข้ามาเป็นแกนหลักในการดำเนินงานโครงการด้วย เพราะจะเป็นส่วนสำคัญในการทำให้โครงการนี้ขับเคลื่อนไปได้

การออกมาพูดของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ครั้งนี้ถือเป็นการตำหนิเหมือนกับติงๆว่า การทำงานของ พศ. เริ่มแผ่วๆในการดำเนินงานโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข เรียกว่าผลการดำเนินงานในขณะนี้ต่างกับสมัยที่นายสุวพันธุ์เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรียกว่าเริ่มเดินเครื่องดีหน่อย แต่ตอนนี้เฉื่อยๆไปหรือไง สมเด็จพระมหาวีรวงศ์จึงบอกว่าแผ่วลง การทำงานกันนั้นถ้าไม่มีก๊อกสองแล้วลำบาก พอก๊อกหนึ่งหมด ก๊อกสองไม่มี เหมือนมวยที่ไม่มีก๊อกสองก็ต่อยแพ้ทุกที แต่มวยที่จะแพ้อยู่ ถ้ามีก๊อกสองก็สามารถชนะได้

การทำงานทุกอย่างถ้าไม่มีก๊อกสอง ไม่มีการขับเคี่ยวให้มันเข้มข้น ให้มันต่อเนื่อง ทำๆหยุดๆแล้วก็แผ่วๆ ในที่สุดก็จะกลายเป็นเรื่องไม่จริงจัง ไม่ต่อเนื่อง เมื่อทำอะไรก็ตามถ้าขาดอิทธิบาท 4 ตามหลักศาสนาที่ว่า ฉันทะ อยากจะทำมีมั้ย วิริยะ พยายามทำมีมั้ย จิตตะ  ตั้งใจทำพอมั้ย วิมังสา เข้าใจวิธีทำมั้ย ถ้าเต็มใจทำ แข็งใจทำ ตั้งใจทำ แล้วก็เข้าใจทำ จะทำอะไรได้ก้าวหน้า สำเร็จ บางทีแรงจูงใจที่อยากจะทำเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่มีความสุข ไม่สนุกกับการได้ทำ ก็จะไม่มีคำว่า “ดวงตาเห็นธรรม”

ที่วัดสวนแก้วก็เหมือนกัน มีการปลุกระดมเรื่องดวงตาเห็นธรรมคือ เห็นแล้วทำ และพยายามไปดู ไปมองให้เห็น บางทีบางอย่างคนทำเป็นไม่เห็นหรือเห็นแล้วทำเป็นไม่อยากทำ มันก็เลยทำอะไรไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้น พศ. ต้องเติมอิทธิบาท 4 ให้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์จะได้เอามาชื่นชมว่าดีกว่ายุคอดีตรัฐมนตรีสุวพันธุ์ ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ภูมิใจกันทุกฝ่าย มส. ก็ภูมิใจ พศ. ก็ภูมิใจ ชาวพุทธก็ยิ่งสบายใจ ยังไงๆก็ขอให้มีใจอยากทำ แล้วมีความพยายามจะทำต่อเนื่อง ซึ่งบุคคลจะล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร อย่าหมดความเพียร อย่าท้อแท้ อย่าใจเสาะ อย่าเปราะบาง มันจะไปไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง

เมื่อความพยายามดีแล้วก็เพ่งเล็งจิตจดจ่อไปที่สิ่งที่จะทำ ในที่สุดจะเริ่มเข้าใจว่ามันต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ให้ศาสนาพุทธเจริญก้าวหน้า อย่าปล่อยให้ศาสนาอื่นแซงหน้าไปได้ เราทำไม่ค่อยเต็มไม้เต็มมือ แต่งบประมาณเต็มทุกเดือน เงินเดือนเต็มทุกเดือน อันนี้เป็นเรื่องที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขกัน จนในที่สุดก็จะพบคำว่า ก้าวหน้า สำเร็จ เติมเต็ม สมบูรณ์ มั่นคง ยั่งยืนต่อไป

เจริญพร


You must be logged in to post a comment Login