วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ทูตสวรรค์

On December 13, 2019

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  13-20 ธันวาคม 2562)

ทุกศาสนามีความเชื่อร่วมกันในสิ่งเร้นลับอย่างหนึ่ง นั่นคือสิ่งที่คนไทยเรียกว่าเทวดา ฝรั่งเรียกว่า Angels ส่วนชาวมุสลิมเรียกว่า “มลาอิก๊ะฮฺ”

คำว่ามลาอิก๊ะฮฺถ้าแปลเป็นภาษาไทยให้ตรงก็คือ ทูตสวรรค์ เพราะทูตคือผู้นำสารจากผู้มีอำนาจ ความเชื่อในการมีอยู่ของมลาอิก๊ะฮฺถือเป็นหนึ่งในหลักศรัทธา 6 ประการของอิสลาม

ความเชื่อในเรื่องนี้มีมาเนิ่นนานก่อนที่มนุษย์จะมาอยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่เพราะมนุษย์มองไม่เห็น มนุษย์จึงพยายามวาดภาพหรือไม่ก็ปั้นรูปทูตสวรรค์ตามจินตนาการของตนขึ้นมา หลักฐานในเรื่องนี้มีให้เห็นได้ตามผนังหรือเพดานวัดและโบสถ์

ชาวอาหรับก่อนหน้าอิสลามมีความเชื่อว่ามลาอิก๊ะฮฺเป็นลูกสาวของพระเจ้า และวาดรูปมลาอิก๊ะฮฺตามจินตนาการของตนไว้บนผนังก๊ะอฺบ๊ะฮฺ

เมื่อมนุษย์ต่างคนต่างจินตนาการสิ่งที่ตัวเองมองไม่เห็น มนุษย์จึงมีความเข้าใจผิดและก่อให้เกิดความเชื่อผิดๆติดตามมา ด้วยเหตุนี้ในสมัยของนบีมุฮัมมัดพระเจ้าจึงได้ประทานกุรอานให้แก่นบีมุฮัมมัดเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่มนุษย์ในเรื่องนี้ และสั่งห้ามวาดหรือปั้นสิ่งที่มองไม่เห็นเป็นอันขาด

ตามที่ปรากฏในคัมภีร์กุรอาน อาดัมมนุษย์คนแรกรู้จักมลาอิก๊ะฮฺก่อนจะมายังโลกนี้แล้ว เพราะเมื่อพระเจ้าสร้างอาดัมขึ้นมาทั้งร่างกายและวิญญาณแล้ว พระองค์ได้สั่งให้ทุกสิ่งในอาณาจักรของพระองค์รวมทั้งมลาอิก๊ะฮฺก้มกราบคารวะต่ออาดัม ทุกสิ่งก้มกราบตามคำบัญชาของพระเจ้ายกเว้นซาตาน การก้มกราบคารวะนี้หมายความว่าถ้าหากอาดัมและลูกหลานของอาดัมปรารถนาสิ่งใด ทุกสิ่งรวมทั้งมลาอิก๊ะฮฺต้องช่วยอาดัมและลูกหลานของเขาให้บรรลุถึงความปรารถนาของเขา

นบีมุฮัมมัดได้ให้ความรู้แก่เราว่า มลาอิก๊ะฮฺเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างมาจากแสงสว่าง มนุษย์จึงมองไม่เห็นมลาอิก๊ะฮฺ แต่มลาอิก๊ะฮฺมองเห็นมนุษย์ มลาอิก๊ะฮฺมีหน้าที่สนองคำบัญชาของพระเจ้าตามที่พระองค์ได้ทรงกำหนด มลาอิก๊ะฮฺไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่มีเพศ และไม่มีความต้องการทางเพศ นอกจากนี้แล้วมลาอิก๊ะฮฺยังมีความสามารถในการแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้อีกด้วย

?????????????????????????????????????????????????????????????????????????

มลาอิก๊ะฮฺมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน นบีมุฮัมมัดกล่าวว่า เหนือก๊ะอฺบ๊ะฮฺที่เมืองมักก๊ะฮฺขึ้นไปบนชั้นฟ้ามีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า “บัยตุลมะมูรฺ” เป็นสถานที่ที่มลาอิก๊ะฮฺมาเวียนรอบเหมือนกับที่มุสลิมไปเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺ มลาอิก๊ะฮฺจะมากันเป็นกลุ่มๆละ 70,000 องค์ เมื่อเวียนครบ 7 รอบแล้วก็จะจากไป และจะมีมลาอิก๊ะฮฺกลุ่มใหม่มาเวียนรอบ เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ก่อนโลกนี้จะถูกสร้าง และกลุ่มมลาอิก๊ะฮฺที่เวียนรอบไปแล้วจะไม่กลับมาอีก

ในบรรดามลาอิก๊ะฮฺมากมายสุดคณานับนี้ นบีมุฮัมมัดได้บอกชื่อและหน้าที่ของมลาอิก๊ะฮฺบางองค์ไว้ เช่น ญิบรีลหรือกาเบรียลทำหน้าที่นำสาสน์จากพระเจ้ามายังนบี อิสรอฟีลทำหน้าที่เป่าแตรส่งสัญญาณวันสิ้นโลก มาลิกทำหน้าที่เฝ้าประตูนรก ริฎวานทำหน้าที่เฝ้าประตูสวรรค์ มุงกัรฺและนะกีรฺทำหน้าที่สอบสวนคนตายในหลุมฝังศพ อิซรออีลทำหน้าที่เอาวิญญาณของมนุษย์ เป็นต้น

พระเจ้าใช้มลาอิก๊ะฮฺเป็นสื่อกลางในการสื่อสารกับนบี หลายคนอาจไม่เข้าใจ แต่ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้เราสามารถเข้าใจสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็นได้มากขึ้น

เราพูดคุยกับเพื่อนต่างแดนตามลำพังทางโทรศัพท์มือถือได้โดยไม่มีใครรู้ว่าเราพูดอะไรกับเพื่อน แต่ในการพูดคุยทางโทรศัพท์เราต้องการสัญญาณโทรศัพท์เป็นสื่อกลางในการสื่อสาร หากไม่มีสัญญาณการสื่อสารก็เป็นไปไม่ได้ ทุกวันนี้ไม่มีใครเห็นสัญญาณโทรศัพท์และไม่รู้ว่าสัญญาณโทรศัพท์ทำจากอะไร แต่ทุกคนเชื่อว่าถ้าไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้

ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าใช้มลาอิก๊ะฮฺญิบรีลเป็นช่องทางในการสื่อสารระหว่างพระองค์กับนบี มลาอิก๊ะฮฺถูกสร้างจากแสงสว่าง เราจึงมองไม่เห็นมลาอิก๊ะฮฺ และแสงสว่างเดินทางด้วยความเร็ว 186,000 ไมล์ต่อวินาที ดังนั้น ในระหว่างที่นบีเผยแผ่คำสอนของพระองค์ หากใครซักถามในสิ่งที่นบีไม่มีความรู้ พระองค์จะใช้มลาอิก๊ะฮฺส่งข้อมูลหรือข่าวสารมายังนบี หลังจากนั้นข้อมูลเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดจากนบีสู่มนุษย์ในภาษาของนบีนั้นๆ ใครที่ได้ยินข้อมูลเหล่านี้จะจดจำหรือไม่ก็จดบันทึกไว้ส่งต่อแก่คนอื่นๆ

การเข้าใจเรื่องเร้นลับทางศาสนาจึงไม่ใช่เรื่องยากถ้าหากมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์และหัวใจไม่มืดบอด

 


You must be logged in to post a comment Login