- ปัญหายาเสพติดวาระแห่งชาติPosted 5 hours ago
- แก่อย่างไม่มีคุณค่าPosted 1 day ago
- “ทักษิณ” ยังมีมนต์ขลังPosted 2 days ago
- อย่าไปอินPosted 5 days ago
- ปีดับคนดังPosted 6 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 week ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 1 week ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 1 week ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 2 weeks ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 2 weeks ago
5 เรื่องสำคัญการบริหารเงินให้ธุรกิจ SMEs ไปรอด
กลยุทธ์ที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการทำธุรกิจ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดในการนำพาธุรกิจให้อยู่รอดปลอดภัย กำไรหรือยอดขายที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ใช่สิ่งชี้วัดว่าธุรกิจจะเติบโต เพราะหากธุรกิจบริหารจัดการเงินไม่เป็น ไม่สามารถบริหารจัดการกระแสเงินสดได้ ระบบการเงินก็เหมือนถังน้ำที่มีรูรั่ว ทำให้ขาดสภาพคล่อง ธุรกิจสะดุด ซ้ำร้ายอาจถึงขั้นล้มละลายปิดกิจการไปในที่สุด
“เงิน” คือปัจจัยสำคัญของคนทำธุรกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มอีมือใหม่ที่ยังบริหารจัดการเรื่องเงินอย่างหละหลวมย่อมมีความเสี่ยงอย่างยิ่ง
“มีคนเข้าใจผิดเยอะมากว่ามีเงินหนึ่งก้อนก็สามารถทำธุรกิจได้ แท้จริงแล้วการมีเงินก้อนหนึ่งทำให้เราเริ่มต้นทำธุรกิจได้ก็จริง แต่ถ้าอยากให้ธุรกิจอยู่รอดและมีกำไรต้องเข้าใจการบริหารเงิน หากบริหารไม่เป็นก็มีโอกาสเจ๊งสูง” โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์ เจ้าของเพจ THE MONEY COACH และโค้ชการเงินส่วนบุคคล รวมถึงที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวพร้อมระบุอีกว่า การบริหารเงินแบบฉบับเอสเอ็มอีต้องให้ความสำคัญกับ “5 เรื่องสำคัญการบริหารเงินให้ธุรกิจไปรอด” ดังนี้
1.เงินทุนหมุนเวียนต้องเตรียมเท่าไร
เงินทุนหมุนเวียน หรือเงินทุนสำรอง คือความมั่นคงพื้นฐานของธุรกิจ สิ่งที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีควรพิจารณาคือ ต้องเตรียมเงินทุนหมุนเวียนเท่าไรจึงจะเหมาะสมกับแต่ละธุรกิจ เช่น ธุรกิจซื้อมาขายไป ต้องการกระแสเงินสดที่ไหลเวียนอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องประเมินสภาพคล่องธุรกิจว่าใน 1 เดือนใช้เงินเท่าไร ทั้งค่าใช้จ่ายด้านวัตถุดิบแรงงาน ค่าขั้นตอนปฏิบัติงานต่างๆ ควรเผื่อเงินสำรองไว้ 3 เดือน เพื่อความคล่องตัวของธุรกิจ กรณีธุรกิจมีการให้เครดิตเทอมหรือเครดิตการค้าที่ใช้เวลาในการวางบิลเก็บเงินนาน ในขณะที่ต้องมีการชำระค่าใช้จ่ายเป็นเงินสด ธุรกิจลักษณะนี้อาจต้องเตรียมเงินทุนสำรองถึง 6 เดือนเพื่อความอุ่นใจ
สิ่งที่ผู้ประกอบการควรทราบอีกอย่างหนึ่งคือ เงินสำรองมีน้อยก็เสี่ยง มีมากเกินไปก็ไม่ดี เพราะอาจเสียโอกาสที่จะนำเงินไปสร้างผลตอบแทนในด้านอื่นๆ ดังนั้น จึงต้องประเมินอย่างเหมาะสม
2.วางแผนบริหารกระแสเงินสด
ในการจัดการเรื่องเงินให้ธุรกิจเอสเอ็มอีไปรอดลำดับต่อมาคือ การวางแผนบริหารจัดการกระแสเงินสด ปัญหาสำคัญคือเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ไม่ทราบว่ารายได้ที่เข้ามานั้นเป็นเงินที่มีภาระอะไรบ้าง เช่น รายจ่ายที่จำเป็น หนี้สินธุรกิจที่ต้องชำระ หรือค่าใช้จ่ายต่างๆในบริษัท ทำให้ไม่ทราบตัวเลขกระแสเงินสดที่ “ปลอดภาระอย่างแท้จริง” มีผลทำให้การตัดสินใจใช้เงินค่อนข้างยากและอาจผิดพลาดได้
ฉะนั้นสิ่งที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีควรทำคือ บริหารจัดการกระแสเงินสด จะเข้ามาจากไหน เมื่อไร อย่างไร ประมาณการรายจ่ายเท่าไร และเมื่อไรบ้าง มีเงินสดเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายหรือไม่ ถ้าไม่พอเตรียมแผนสำรองไว้อย่างไร เพราะหากผิดพลาดหรือล่าช้าเพียงไม่กี่วันอาจกระทบกับสภาพคล่องของธุรกิจหรือความเชื่อมั่นของคู่ค้าได้ ดังนั้น ประมาณการกระแสเงินสดไหลเข้า-ออกต้องแม่นยำ เพื่อสามารถวางแผนบริหารจัดการเงินได้อย่างเป็นระบบ
ขณะเดียวกันการบริหารเครดิตเทอมหรือเทอมการค้าที่ยืดหยุ่นให้กับลูกค้าบางรายหรือลูกค้าใหม่ควรปรับไปตามสถานการณ์ โดยพยายามบริหารเงินให้ธุรกิจได้ประโยชน์มากที่สุด อาทิ บางรายให้เครดิต บางรายเก็บเงินสด ก็เป็นอีกเทคนิคการจัดการเงินเบื้องต้นสำหรับผู้ประกอบการใหม่ๆ
3.แยกกระเป๋า เงินเรา เงินบริษัท
เมื่อวางแผนจัดการกระแสเงินสดได้แล้ว ผู้ประกอบการก็จะได้ทราบตัวเลข “เงินที่ปลอดภาระ” แต่ปัญหาส่วนใหญ่คือ ผู้ประกอบการมักใช้เงินปะปนกันระหว่างเงินของตัวเองกับเงินของธุรกิจ เรื่องนี้เจ้าของธุรกิจมักคิดว่ายังไงก็เงินเรา แต่จริงๆแล้วไม่ถูกต้อง เพราะหากมองในแง่มุมการทำธุรกิจ การเสียภาษีของบุคคลธรรมดากับนิติบุคคลนั้นใช้คนละฐานภาษีกัน ดังนั้น การใช้จ่ายเงินส่วนตัวกับรายได้จากธุรกิจควรแยกกระเป๋าให้ชัดเจน หากไม่แยกเจ้าของธุรกิจจะไม่ทราบเลยว่าจริงๆแล้วธุรกิจมีกำไรหรือขาดทุน เพราะช่วงที่ธุรกิจขาดเงินก็ใช้เงินส่วนตัวจ่าย ช่วงที่เก็บเงินได้ก็นำไปใช้ส่วนตัว การใช้เงินปะปนกันไปหมด หากมีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนควรนำไปลงทุนในธุรกิจ หรือนำไปปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ไม่ควรใช้เงินสดจนขาดสภาพคล่อง
4.วางแผนขอสินเชื่อและการหาหุ้นส่วน
ในช่วงที่ธุรกิจต้องการใช้เงินจำนวนมาก อาทิ นำไปจัดซื้อวัตถุดิบเพื่อขยายการผลิต ลงทุนเพื่อพัฒนาธุรกิจ หรือประมาณการเงินหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นในอนาคตเพื่อไม่ให้เกิดความฉุกละหุก จึงควรวางแผนหาแหล่งเงินสำรอง ไม่ควรรอให้เงินขาดมือแล้วค่อยมองหาช่องทาง
“สินเชื่อธุรกิจ” เป็นหนทางในการเข้าถึงแหล่งเงินได้ดีที่สุด เราควรวางแผนขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินไว้ล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงทั้งมวล และการขอสินเชื่อแต่ละครั้งควรระบุประเภทของสินเชื่อให้ชัดเจนตามวัตถุประสงค์ของการนำเงินไปใช้
อีกรูปแบบหนึ่งในการเข้าถึงแหล่งเงินคือ การหาหุ้นส่วนมาร่วมลงทุน หรือกิจการร่วมค้า แต่แนะนำว่าให้ผู้ประกอบการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินก่อน เพราะการหาหุ้นส่วนมีประเด็นที่ต้องพิจารณามากมาย เปรียบเทียบง่ายๆ ขอสินเชื่อสถาบันการเงินอาจมีภาระชำระหนี้ 5-10 ปี เป็นภาระสั้นๆ แต่การมีหุ้นส่วนคือการอยู่ร่วมกันระยะยาว จึงต้องพิจารณาและประเมินให้ดี
5.ให้ความสำคัญกับงบการเงิน
ทุกองค์กรควรกำหนดผู้ทำหน้าที่ติดตามรายการรับ-จ่ายเงิน บันทึกข้อมูลทางบัญชีเพื่อจัดทำประมาณการกระแสเงินสด และจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้ได้ตัวเลขที่ถูกต้อง ซึ่งก็คือ “งบการเงิน” ที่เป็นหัวใจสำคัญ
ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีส่วนใหญ่ไม่ทราบว่างบการเงินไม่เพียงแต่ใช้ประโยชน์เพื่อนำส่งสรรพากรเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นงบแสดงสถานะทางการเงิน งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด ถ้าผู้ประกอบการทำตัวเลขถูกต้องจะสามารถนำมาใช้บริหารจัดการหรือช่วยตัดสินใจในธุรกิจได้ ที่สำคัญกรณีมีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนเพิ่มและประสงค์ขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ผู้ประกอบการที่ส่งงบการเงินที่ถูกต้องประกอบการขอสินเชื่อย่อมส่งผลดี เพราะเจ้าหน้าที่สินเชื่อจะสามารถประเมินศักยภาพของธุรกิจ ความจำเป็นต้องใช้เงินเพิ่มได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประโยชน์ของงบการเงินที่ผู้ประกอบการมองข้าม
สุดท้ายมีคนเคยกล่าวไว้ว่า ธุรกิจโตเพราะการตลาด ขายดีเพราะการจัดการ แต่ส่วนใหญ่ที่เจ๊งบอกได้เลยว่าเป็นเพราะเรื่องการเงิน ดังนั้น ธุรกิจที่เฝ้าระวังตลอดเวลา มีข้อมูลบริหารจัดการเงินที่ดีและถูกต้อง ธุรกิจเหล่านี้จะเติบโต สร้างกำไรและความมั่งคั่งให้กับกิจการ
You must be logged in to post a comment Login