- ปีดับคนดังPosted 8 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 day ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 7 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
“โรคเสี่ยงๆของต่อมลูกหมาก” เรื่องไม่ลับของชายสูงวัย
คอลัมน์ : โลกสุขภาพ
ผู้เขียน : นพ.ดำรงพันธุ์ วัฒนะโชติ รพ.กรุงเทพ
(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 3-10 มกราคม 2563)
ผู้ชายเมื่อเข้าช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป มักจะมีแนวโน้มความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม ที่พบได้บ่อยคือ ความผิดปกติในการขับถ่ายปัสสาวะ (LUTS : lower urinary tract symptoms) อาการปัสสาวะกลั้นไม่ค่อยอยู่หรือโอเอบี อาการกระเพาะปัสสาวะไวเกิน ต่อมลูกหมากโต ต่อมลูกหมากอักเสบ ร้ายแรงไปจนถึงโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ดังนั้น การดูแลสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นปัญหาความผิดปกติทางด้านสุขภาพเพศชายย่อมมีมากขึ้นตามมา ทั้งนี้ ต่อมลูกหมาก (Prostate gland) คืออวัยวะส่วนหนึ่งของระบบสืบพันธุ์และระบบปัสสาวะของเพศชาย มีหน้าที่ในการสร้างน้ำหล่อลื่นที่อยู่ในน้ำอสุจิ และช่วยปกป้องสารพันธุกรรม (DNA) ของอสุจิ ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในระบบสืบพันธุ์ของเพศชาย โรคต่อมลูกหมากโต (BPH) คือภาวะที่ต่อมลูกหมากที่อยู่ใต้กระเพาะปัสสาวะล้อมรอบท่อปัสสาวะที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติไปบีบท่อปัสสาวะให้แคบลงจนส่งผลถึงระบบปัสสาวะได้ ปัญหานี้พบในผู้ชายอายุ 45 ปีขึ้นไป และในผู้ชายสูงวัยอายุ 80 ปีขึ้นไปจะพบมากถึง 80% คนไข้จะมีอาการปัสสาวะขัด ปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืน กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือต้องใช้แรงเบ่งปัสสาวะนาน หากไม่รักษาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้
ขณะที่โรคของต่อมลูกหมากในผู้ชายที่ถือเป็นอันตรายอีกโรคหนึ่งคือ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก พบในผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป (พบได้บ่อยในผู้ชายอายุเฉลี่ยประมาณ 70 ปี) สาเหตุของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่พบปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค ได้แก่ 1.อายุ ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งมีความเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากสูงขึ้น 2.พันธุกรรม คนที่มีพ่อหรือพี่น้อง (บุคคลในครอบครัวสายตรง) เป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ได้มากกว่าคนทั่วไปประมาณ 3 เท่า 3.เชื้อชาติ โรคนี้พบได้มากในกลุ่มชายชาวตะวันตกทั้งในยุโรปและอเมริกา ในขณะที่ชาวเอเชียจะพบได้น้อยกว่า 4.อาหาร คนที่ชอบบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงหรืออาหารประเภทเนื้อแดงต่อเนื่อง บริโภคผักและผลไม้น้อย 5.การสูบบุหรี่ 6.ความอ้วน เนื่องจากมะเร็งชนิดนี้พบได้มากในคนอ้วน และมักจะเป็นมะเร็งชนิดร้ายแรงและรักษาได้ยากกว่าคนที่ไม่อ้วน เป็นต้น
อาการของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากมักลุกลามช้า เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงมักไม่มีอาการแสดงในระยะเริ่มต้น แต่หากมะเร็งขยายตัวมากขึ้นเป็นก้อนใหญ่จนไปกดทับท่อปัสสาวะอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติขึ้นได้ เช่น ถ่ายปัสสาวะลำบาก รู้สึกเหมือนถ่ายปัสสาวะไม่สุด ปัสสาวะบ่อยๆ หากเป็นมากขึ้นผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายไม่ออก บางรายอาจถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด
ระยะของโรคแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ระยะเริ่มต้น ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็ก ตรวจไม่พบก้อนเนื้อจากการคลำผ่านทางทวารหนัก ระยะที่ 2 ก้อนมะเร็งมีขนาดโตขึ้นเล็กน้อย และคลำพบผ่านทางทวารหนัก ยังไม่มีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ระยะที่ 3 เซลล์มะเร็งมีการลุกลามออกนอกต่อมลูกหมากไปยังอวัยวะที่อยู่ข้างเคียง ระยะที่ 4 เซลล์มะเร็งลุกลามเข้ากระเพาะปัสสาวะ และ/หรือลำไส้ตรง และ/หรือเนื้อเยื่อในช่องท้องน้อย และ/หรือต่อมน้ำเหลือง หรืออวัยวะอื่นๆ
การตรวจวินิจฉัยมะเร็งต่อมลูกหมากทำได้โดย 1.การซักประวัติอาการและการตรวจร่างกาย 2.การตรวจทางทวารหนักเพื่อคลำหาก้อนมะเร็ง (Digital rectal examination – DRE) เนื่องจากต่อมลูกหมากอยู่ติดกับทวารหนัก แพทย์จึงสามารถสวมถุงมือแล้วใช้นิ้วสอดเข้าไปทางทวารหนักเพื่อตรวจคลำขนาดรูปร่างและความยืดหยุ่นของต่อมลูกหมาก ซึ่งในรายที่เป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากมักจะพบต่อมลูกหมากเป็นก้อนแข็งหรือขรุขระ 3.การเจาะเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Prostate specific antigen (PSA) test) 4.การตรวจอัลตราซาวนด์ต่อมลูกหมากผ่านทางทวารหนัก (Transrectal ultrasound – TRUS) เป็นการตรวจโดยใช้คลื่นเสียง ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือสำหรับตรวจสอดเข้าทางทวารหนักไปยังตำแหน่งของต่อมลูกหมากเพื่อช่วยในการหาตำแหน่งของก้อนเนื้อ ในรายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากจากการตรวจชิ้นเนื้อตัวอย่าง แพทย์จะตรวจวิเคราะห์ต่อไปว่าเซลล์มะเร็งดังกล่าวน่าจะมีการแพร่กระจายไปมากน้อยเพียงใด 5.การตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เป็นการตรวจที่ช่วยประเมินการแพร่กระจายของมะเร็งออกนอกต่อมลูกหมาก 6.การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) เป็นการตรวจที่ช่วยประเมินการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังต่อมน้ำเหลืองได้ เป็นต้น
แนวทางการรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากประกอบด้วย 1.การผ่าตัด 2.การใช้รังสีรักษา 3.การให้ยาเคมีบำบัด และ 4.การรักษาด้วยฮอร์โมน ทั้งนี้ แนวทางในการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคว่าเป็นมะเร็งที่มีการลุกลามช้าหรือเร็ว รวมถึงระยะของโรคเป็นสำคัญ ขณะที่ผลการรักษาก็ขึ้นอยู่กับระยะของโรคเช่นกัน และปริมาณของสารบ่งชี้มะเร็ง (PSA) การแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง รวมถึงอายุและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย
ดังนั้น การดูแลตนเองสิ่งสำคัญที่สุดคือ ควรรีบไปพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาโรคตั้งแต่เนิ่นๆ และเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากแล้วควรติดตามการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมะเร็งต่อมลูกหมากมักลุกลามช้า การรีบเข้ารับการบำบัดรักษาจะทำให้สามารถควบคุมโรคได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาว
ผู้ป่วยสามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้เป็นปกติ และควรดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้ดี ไม่ว่าจะเป็น 1.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ 2.ออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตนเองอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน 3.พักผ่อนให้เพียงพอ 4.ควรหากิจกรรมหรืองานอดิเรกทำเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด
You must be logged in to post a comment Login