วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

บ้านประชารัฐลาดพร้าว : ปล้นสมบัติของชาติเพื่อกฎหมู่

On January 21, 2020

คอลัมน์ :โลกอสังหาฯ

ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  24-31 มกราคม 2563)

น่าอายสุดๆ บอกมาได้ว่านี่คือเวนิสตะวันออก นี่คือการปล้นชัดๆ บ้านประชารัฐที่คุยว่าเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน แท้จริงคือการปล้นสมบัติของแผ่นดินไปให้ “กฎหมู่” หรือไม่ ทำเพื่อผลงานแบบ “ลูบหน้าปะจมูก” หรือ “ผักชีโรยหน้า” หรือไม่

อันที่จริงบ้านประชารัฐก็คือบ้านมั่นคงในสมัยรัฐบาลทักษิณ แต่พวกข้าราชการประจำที่เป็นเสมือนจิ้งจกก็เพียรเปลี่ยนชื่อตามสมัยนิยมของผู้มีอำนาจ เพื่อไม่ให้กลายเป็นการเลียนแบบของเดิมที่ทำไว้ แต่บ้านมั่นคงหรือบ้านประชารัฐกรณีคลองลาดพร้าวนั้น คือการปล้นที่ของทางราชการมาให้พวกกฎหมู่ที่อยู่อาศัยตามที่ดินของทางราชการริมคลองลาดพร้าวอันเป็นคลองชลประทานเดิมมาให้พวกตนอย่างน่าละอายเป็นที่สุด

ที่ผ่านมามีข่าวเรื่องการปรับปรุงคลองลาดพร้าวในแง่บวกเกินจริง (https://bit.ly/2PFrlJL) โดยในข่าวระบุว่า คลองลาดพร้าวมีความยาวทั้งหมด 31.9 กิโลเมตร เริ่มจากบริเวณอุโมงค์เขื่อนพระราม 9 เชื่อมกับคลองแสนแสบ (เขตวังทองหลาง) มายังวัดลาดพร้าว-วังหิน-บางบัว (เขตจตุจักร)-คลองถนน (เขตดอนเมือง)-สะพานใหม่ และคลองสอง (เขตสายไหม) มี 50 ชุมชน รวม 7,069 ครัวเรือน ประชากรเกือบ 30,000 คน ชาวบ้านอยู่อาศัยบนที่ดินริมคลองซึ่งกรมธนารักษ์ดูแลมานานไม่ต่ำกว่า 50 ปี โดยไม่ได้เสียค่าเช่า และบางส่วนที่มาอยู่ในภายหลัง เมื่อไม่มีที่ว่างบนฝั่งจึงปลูกสร้างบ้านเรือนรุกล้ำลงไปในลำคลอง แต่ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้เข้ามาจัดระเบียบ เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นปัญหามวลชน

ตามข่าวยังบอกว่า “หากชุมชนใดสามารถอยู่ในที่ดินเดิมได้ (หลังจากสำรวจและวัดแนวเขตว่าพ้นจากแนวเขื่อนแล้ว) จะต้องทำสัญญาเช่าที่ดินจากกรมธนารักษ์ ระยะเวลาช่วงแรก 30 ปี (สามารถต่อสัญญาได้ครั้งละ 30 ปี) อัตราค่าเช่าไม่เกิน 2 บาท/ตารางวา/เดือน) หลังจากนั้นจึงจะเริ่มปลูกสร้างบ้าน… สนับสนุนเรื่องสินเชื่อไม่เกิน 360,000 บาท/ครัวเรือน ระยะเวลาผ่อน 20 ปี ดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณสร้างสาธารณูปโภคครัวเรือนละ 75,000 บาท เงินอุดหนุนและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบครัวเรือนละ 72,000 บาท… ขณะนี้สร้างบ้านเสร็จไปแล้ว 34 ชุมชน รวม 1,190 ครัวเรือน อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 1,231 ครัวเรือน โดยมีชุมชนที่อยู่อาศัยในที่ดินเดิมไม่ได้จำนวน 958 ครัวเรือน ร่วมกันจัดซื้อที่ดินเพื่อสร้างชุมชนใหม่รวม 6 โครงการ ส่วนที่เหลืออีก 16 โครงการขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง”

นี่คือการเอาเปรียบสังคมอย่างชัดเจน

1.ชุมชนเหล่านี้อาศัยความเป็น “กฎหมู่” ได้เปรียบสังคม อยู่มา 50 ปี รวม 2 ชั่วรุ่น ยังจะได้สิทธิพิเศษอีก อย่างนี้เท่ากับเอาสมบัติของแผ่นดินไปให้ “กฎหมู่” อย่างไม่เป็นธรรมต่อสังคมส่วนรวมหรือไม่ น่าละอายหรือไม่

2.มีการ “ประเคน” ที่ดินให้เกือบฟรีคือ เช่าตารางวาละ 2 บาทต่อเดือน เช่น ถ้าได้ที่ดิน 50 ตารางวา ก็เท่ากับเช่าปีละ 1,200 บาท ในขณะที่ที่ดินใกล้เคียงคงมีราคาตารางวาละ 50,000 บาท ถ้าที่ดิน 50 ตารางวา ก็เป็นเงิน 2.5 ล้านบาท ถ้าต้องเช่าตามราคาตลาดก็เท่ากับเป็นเงินประมาณ 1% ต่อปี เป็นเงิน 25,000 บาทต่อปี เท่ากับให้ชาวบ้าน “อภิสิทธิ์ชน” เหล่านี้เช่าต่ำกว่าค่าเช่าตลาดถึง 21 เท่า

3.ยังมีการให้สินเชื่ออีก 360,000 บาทต่อครัวเรือน ให้ผ่อนนาน 20 ปี ดอกเบี้ยต่ำเพียง 4% ซึ่งต่ำกว่าประชาชนที่ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ใช่กฎหมู่ หรืออาจต่ำกว่าข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจเสียอีก อย่างนี้ถือว่ามีความเป็นธรรมหรือไม่

4.ที่ดินราคาแพงในเมืองควรนำมาสร้างห้องชุด ซึ่งในพื้นที่ 1 ไร่ หากจัดสรรที่ดินอาจจัดสรรได้สุทธิ 80% หรือ 320 ตารางวา หากแต่ละแปลงมีขนาด 50 ตารางวา ก็เท่ากับ 6.4 หน่วยเท่านั้น แต่ที่ดิน 1 ไร่ หากนำมาสร้างที่สัดส่วนอาคารต่อที่ดินที่ 5:1 ก็ควรสร้างได้ 8,000 ตารางเมตร หากพื้นที่ขาย/เช่าสุทธิเป็น 70% ก็เท่ากับ 5,600 ตารางเมตร หากแฟลตห้องหนึ่งมีขนาด 50 ตารางเมตร ก็สามารถให้อยู่อาศัยได้ถึง 112 ครัวเรือน แสดงว่าในพื้นที่ 1 ไร่ ยังจัดให้คนจนอื่นเข้าอยู่ได้อีกนับร้อย ไม่ใช่แค่ 6.4 หน่วย การใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างไร้ประสิทธิภาพ และเอื้อ “กฎหมู่” จึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง

มีการสร้างภาพ สร้างสตอรี่ให้เห็นว่า ชุมชนริมคลองเหล่านี้แต่เดิมบุกรุกลงคลอง ตอนนี้ได้รับการโยกย้ายและเว้นที่ริมคลองแล้ว เป็นระเบียบแล้ว กลายเป็นเสมือนคลองเวนิสในตะวันออก เทียบกับนครเวนิสใสอิตาลี แต่นี่เท่ากับเป็นการเอาที่หลวงไปปรนเปรอให้กับกฎหมู่อย่างน่าละอายที่สุด ถ้าคนเหล่านี้เห็นแก่ผลประโยชน์ของส่วนรวมย่อมมีหิริโอตตัปปะ ไม่ “ปล้นชาติ” ในลักษณะนี้ และแทนที่จะสร้างบ้านเตี้ยๆให้พวกเขาอยู่ ถ้าสร้างเป็นแฟลตให้คนอื่นได้เช่าด้วยป่านนี้บรรจุคนจนได้อีกมากมาย แต่กลับกลายเป็นการเอาใจกฎหมู่ นี่คือปรากฏการณ์ที่หวังจะได้ความสำเร็จของโครงการที่เป็นแบบผักชีโรยหน้าแท้ๆ หาเป็นความสำเร็จที่แท้ไม่

การเอาใจ “กฎหมู่” เพื่อสร้างผลงานแบบ “ผักชีโรยหน้า” หรือ “ลูบหน้าปะจมูก” ย่อมไม่ได้ใจคนส่วนใหญ่ และเป็นการทำลายความยุติธรรมในสังคมเสียอีก


You must be logged in to post a comment Login