- ปัญหายาเสพติดวาระแห่งชาติPosted 2 hours ago
- แก่อย่างไม่มีคุณค่าPosted 24 hours ago
- “ทักษิณ” ยังมีมนต์ขลังPosted 2 days ago
- อย่าไปอินPosted 5 days ago
- ปีดับคนดังPosted 6 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 week ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 1 week ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 1 week ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 2 weeks ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 2 weeks ago
ออมสินเผย “โคโรนาไวรัส 2019” ทำนักท่องเที่ยวจีนหายรายได้ลด ฉุดGDPไทยลง-0.4% ถึง -1.0%
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส(Covid-19) ขั้นเด็ดขาดของทางการจีนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสั่งปิดเมืองอู่ฮั่นและในอีกหลายเมืองที่มีความเสี่ยงหรือการสั่งระงับทัวร์จีนเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ ฯลฯ ทำให้ส่งผลกระทบทางตรงต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย อีกทั้งยังส่งผลกระทบไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจค้าปลีก ที่พักแรม ร้านอาหาร บริการขนส่ง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเชื่อมโยงไปถึงธุรกิจต้นน้ำ อาทิ ธุรกิจเกษตร ปศุสัตว์ ที่เป็นวัตถุดิบหรือสินค้าให้กับร้านค้าปลีก ร้านอาหาร และโรงแรม ที่พักต่างๆ ซี่งภาครัฐได้ออกมาตรการเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจและเยียวยาภาคธุรกิจต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ทั้งมาตรการทางด้านการเงินและด้านการคลังเป็นการเร่งด่วน
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ได้ประเมินผลกระทบดังกล่าวที่มีต่อภาคเศรษฐกิจและภาคธุรกิจของไทยโดยใช้ข้อมูลสถิติจำนวนรายได้และค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาประเทศไทยจากฐานข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำหรับประมวลผลและคาดการณ์การลดลงของจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวจีน เพื่อนำไปพยากรณ์ผลกระทบที่จะมีต่อGDP ของประเทศในด้านการผลิตหากรายได้จากการท่องเที่ยวมีการปรับตัวลดลง โดยแบ่งการศึกษาออกเป็น 2 กรณีคือ
1)กรณีที่ทางการจีนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส2019 (Covid-19) ได้ภายใน 3 เดือน คาดว่านักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางมายังประเทศไทยจะหายไปประมาณ 1.6ล้านคน ซึ่งจะส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยลดลงไปกว่า 80,000ล้านบาท และฉุดให้GDP ของไทยในปี 2563 ลดลงร้อยละ -0.4
2) กรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสต่อเนื่องยาวไปจนถึง 6 เดือน คาดว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนที่หายไปเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3.5ล้านคน ซึ่งจะส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยลดลงไปกว่า 170,000 ล้านบาท และฉุดให้GDPของไทยในปี 2563 ลดลงร้อยละ-1.0
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ได้ศึกษาเพิ่มเติมถึงผลกระทบจากการหดตัวของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีต่อธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยวโดยจากข้อมูลสถิติการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนจากฐานข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พบว่านักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมใช้จ่าย5 อันดับแรก ได้แก่1) การช้อปปิ้ง(ค้าปลีก) 2) ที่พักแรม3) ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 4) การเดินทาง และ 5) การบันเทิง/สันทนาการต่างๆ ดังนั้นเมื่อนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้จ่ายดังกล่าวโดยเฉพาะในจังหวัดที่คนจีนนิยมท่องเที่ยว อาทิ กรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ กระบี่สุราษฎร์ธานี และเชียงราย
ทั้งนี้ คาดว่ากลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการที่รายได้นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงมากที่สุด 4อันดับแรก ได้แก่ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจที่พักแรม ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจขนส่งธุรกิจค้าปลีกคาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 25,000 – 54,000 ล้านบาท จากการจับจ่ายซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหลัก อาทิ 1)กลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ เช่น มินิมาร์ท/ไฮเปอร์มาร์เก็ต/ซุปเปอร์มาร์เก็ต 2)ธุรกิจขายเครื่องสำอาง/ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม/ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 3)กลุ่มร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม/ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อในท้องถิ่น/ของที่ระลึก ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการ ในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 7,538ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรีเชียงใหม่ และภูเก็ต
ธุรกิจที่พักแรม/โรงแรมคาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 21,000 – 45,000 ล้านบาท โดยเฉพาะที่พักแรมระดับราคาไม่สูงมากจนถึงระดับปานกลาง และมีตลาดหลักเป็นลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 5,622ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต
ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มคาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 16,000 – 34,000 ล้านบาทโดยเฉพาะร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ขึ้นชื่อของแต่ละจังหวัด ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 7,708 ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี
นอกจากนี้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบยังรวมถึงร้าน Street Foodอีกกว่า 105,000 ราย (ส่วนใหญ่ไม่เป็นนิติบุคคล) กระจายตามจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ(ที่มา:Euromonitor International 2018)
ธุรกิจขนส่งคาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 7,500 – 16,000 ล้านบาท โดยเฉพาะบริการรถหรือเรือนำเที่ยว รวมถึงบริการการขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ในพื้นที่ ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการที่เป็น SMEs กลุ่มนี้อยู่ประมาณ 6,742ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต
อย่างไรก็ตามนอกจากผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการที่นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงแล้ว ยังมีผลกระทบเชื่อมโยงไปถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เป็นธุรกิจต้นน้ำ เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเพาะปลูก ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ข้าว รวมถึงธุรกิจปศุสัตว์ทั้งโค สุกร และสัตว์ปีก อีกทั้งธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ เช่น ธุรกิจเชื้อเพลิงธุรกิจเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งอาจมีผลกระทบให้GDPปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาดการณ์
ทั้งนี้ภาครัฐได้เร่งออกมาตรการเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ประกอบการ รวมถึงผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา 2019(Covid-19) ทั้งมาตรการทางด้านการเงินและด้านการคลัง โดยมติคณะรัฐมนตรีในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 ได้เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือต่างๆอาทิ
การจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ โดยให้สถาบันการเงินของภาครัฐ เช่น ธนาคารออมสิน, ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.), ธนาคารกรุงไทย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ให้เร่งดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ
สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศและสนับสนุนการปรับปรุงกิจการโรงแรม
การลดค่าธรรมเนียมในการขึ้น-ลงของอากาศยาน (Landing Fee)
การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบิน
สำหรับธนาคารออมสินได้ออกมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระเงินกู้สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่(Covid-19)โดยจะต้องอยู่ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจขนส่งเพื่อการท่องเที่ยว ธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ รวมถึงผู้ผลิตสินค้า และผู้ประกอบการขายส่ง ขายปลีกสินค้าให้นักท่องเที่ยว เป็นต้นเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
ลดอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเงินกู้ลง 20% ของดอกเบี้ยจ่าย เป็นระยะเวลา 1 ปี (คงเหลืออัตราดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 4%)
พักชำระเงินต้นไม่เกิน 2 ปี โดยระหว่างพักชำระเงินต้นให้ชำระดอกเบี้ย 50% – 100% ตามความรุนแรงของผลกระทบ ทั้งนี้ ในส่วนดอกเบี้ยที่ค้างชำระหรือที่ชำระไม่ครบ ผ่อนปรนให้ชำระได้ภายหลังในระยะเวลาไม่เกิน 4 ปี
ขยายระยะเวลาชำระหนี้ไม่เกิน 2 เท่าของระยะเวลาพักชำระเงินต้น สูงสุดไม่เกิน 4 ปี
ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม
ลดอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเงินกู้ลง 10% ของดอกเบี้ยจ่ายเป็นระยะเวลา 1 ปี (คงเหลืออัตราดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 4%)
พักชำระเงินต้นไม่เกิน 2 ปี โดยระหว่างพักชำระเงินต้นให้ชำระดอกเบี้ยไม่น้อยกว่า 100%
ขยายระยะเวลาชำระหนี้ไม่เกินระยะเวลาพักชำระเงินต้น
นอกจากนี้ ยังจะมีแนวทางช่วยเหลือกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอีกหลายมาตรการ ทั้งมาตรการเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และมาตรการช่วยเหลือพนักงาน/ลูกจ้างที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ผู้ค้ารายย่อยและอาชีพที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ รายละเอียดอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลังเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี ซึ่งธนาคารออมสินยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือต่อไป” ดร.ชาติชายกล่าว
You must be logged in to post a comment Login