- อย่าไปอินPosted 12 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 1 day ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
“วิษณุ” ยืนยันสถานการณ์โควิด-19 ไทยยังอยู่ในระยะ 2 ยังไม่เข้าสู่ระยะ 3
วันนี้ (16 มี.ค. 2563) ที่ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 ภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ว่า นายกฯได้แสดงความห่วงใยและกำชับให้เตรียมการทุกอย่าง เวชภัณฑ์ โรงพยาบาล มาตรการต่างๆ เพื่อรองรับในการที่จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น หากมีความจำเป็นที่กระทรวงสาธารณสุขยกระดับการแพร่ระบาดเป็นระยะที่ 3 จะได้มีความพร้อมในการรองรับ
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมศูนย์ฯซึ่งมีรัฐมนตรีทุกคนเข้าร่วมประชุมมีมติเอกฉันท์ว่า ยืนยันว่าเรายังอยู่ในระยะที่ 2 ยังไม่ไปสู่ระยะที่ 3 ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีผลปฏิบัติและวิชาการว่าการจะประกาศระยะที่ 3 ได้ต่อเมื่อมีประชาชนไทยรับเชื้อหรือติดต่อโรคกันเอง โดยสืบสาวราวเรื่องแล้วไม่ปรากฏต้นตอมาจากประเทศที่แพร่เชื้อก่อน ต้องเป็นการติดต่อในหมู่คนไทยที่พบว่าผู้แพร่เชื้อไม่ได้เดินทางมาจากต่างประเทศที่จะแสดงให้เห็นความรุนแรง อีกทั้งจะต้องมีการแพร่เชื้ออย่างนี้จำนวนมาก ไม่ใช่ 1-2 ราย และอีกตัวชี้วัดคือ การปรากฏแพร่เชื้อหลายพื้นที่ ถ้าอย่างนั้นแปลว่าคับขันที่จะคงระยะที่ 2 ได้แล้ว เพราะต้องเตรียมวิธีรับมืออีกอย่างหนึ่ง จึงยังไม่เข้าสู่ระยะที่ 3 โดยเป็นเกณฑ์ที่เราตั้งขึ้นเอง
นายวิษณุกล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นว่าจำเป็นต้องเตรียมตัวรับมือ มิเช่นนั้นจะเกิดความประมาท และหาว่ารัฐไม่ได้เตรียมการอย่างเพียงพอ เราจะเตรียมการไว้ก่อน โดยในด้านที่ 1 คือสาธารณสุข ที่ประชุมขอให้อย่าตื่นตระหนก ขณะนี้ได้เตรียมการรับมือไว้แล้ว โดยนายกฯสั่งการให้เตรียมโรงพยาบาลของรัฐ เอกชน ท้องถิ่น โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ทหาร ตำรวจ สถานพยาบาลต่างๆ เพื่อเตรียมปรับสถานที่ให้มีเตียงที่จะใช้ได้เพียงพอ เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ที่จะมาถึง
นอกจากนี้ให้เตรียมการเรื่องแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ อีกทั้งกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เตรียมระดมแพทย์อาชีพ แพทย์ภาครัฐ เอกชน แพทย์ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว พยาบาล จิตอาสาที่มีความรู้ด้านการแพทย์ ที่มีที่อยู่ติดต่อจะระดมมาถ้าสถานการณ์ถึงจุดจำเป็น รวมถึงเตรียมยา เวชภัณฑ์ ซึ่ง สธ. เตรียมรับมือไว้แล้ว นายกฯอนุมัติค่าตอบแทนพิเศษแก่แพทย์ พยาบาล เป็นกรณีพิเศษไว้แล้ว
2.ด้านเวชภัณฑ์ หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) รายงานว่า ได้เร่งกำลังการผลิตมากขึ้นจนเกือบจะถึง 2 ล้านชิ้นต่อวัน และจะผลิตให้มากขึ้น พร้อมเร่งการผลิตแอลกอฮอล์ เจลล้างมือให้มากขึ้น ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพลังงานพร้อมจะแก้ระเบียบบางอย่างเพื่อให้เร่งการผลิตได้ ส่วนกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) รายงานว่า ได้รับการแจ้งจากบางประเทศว่าพร้อมจะให้ความช่วยเหลือเรื่องหน้ากากอนามัย นอกจากนี้นายกฯยังยกเรื่องสำคัญว่า ในส่วนของการตรวจจับการค้าขายหรือสั่งซื้อหน้ากากอนามัยทางออนไลน์ที่มีการยึดของกลางมาจำนวนมาก ซึ่งเป็นของกลางตามกฎหมายจำนวนนับล้านชิ้น ให้นำมาจัดสรรและแจกจ่ายไปยังโรงพยาบาล ส่วนเรื่องคดียังดำเนินคดีต่อไป แต่อย่าทำให้เสียรูปคดี
3.ด้านข้อมูลข่าวสาร นายเทวัญได้รายงานว่า มีคนร้องเรียนเข้ามายังศูนย์ข้อมูลโควิด-19 วันละประมาณ 1,000 ราย ซึ่งได้ชี้แจงทำความเข้าใจและแก้ปัญหาไปแล้ว 98% ที่เหลือให้แก้ปัญหาต่อไป
4.ด้านการต่างประเทศ กต. รายงานว่า มีต่างประเทศแสดงความปรารถนาดีที่จะให้ความช่วยเหลือด้านเวชภัณฑ์คือ ยา หน้ากากอนามัย อุปกรณ์ทางการแพทย์ เราพร้อมรับ แต่นายกฯสั่งการว่า เราจะรอจากเขาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเร่งการผลิตเอง ต้องพึ่งขาตัวเองด้วย โดย สธ. รายงานว่า จะเร่งผลิตชุดที่ต้องใช้ปฏิบัติงานให้ได้มากขึ้น ส่วนที่ไทยยกเลิกฟรีวีซ่าและวีโอเอนั้นไม่มีประเทศใดขัดข้อง ทุกอย่างพร้อมและน้อมรับกับสิ่งที่เราดำเนินการ แต่นายกฯห่วงคนไทยในประเทศต่างๆ ทั้งข้าราชการที่มีประมาณ 1,500 คน นักเรียนไทยในต่างประเทศนับพันคน พระภิกษุประมาณ 1,500 รูป แรงงานไทยที่ยังไม่กลับเข้ามาอีกนับเป็นแสนคน จึงสั่งให้ กต. จัดตั้งทีมไทยแลนด์ในทุกประเทศเพื่อรับมือโควิด-19 โดยมีเอกอัครราชทูตประเทศนั้นๆเป็นหัวหน้าทีม เพื่อรับร้องเรียน ร้องทุกข์ ตลอดจนให้ข้อมูลข่าวสาร เป็นทีมเฉพาะกิจ
5.ด้านมาตรการป้องกัน เตรียมรับมือผู้ที่ยังไม่ป่วย ถือเป็นเรื่องสำคัญ และย้ำว่าขณะนี้ประเทศไทยยังไม่ประกาศระยะที่ 3 แต่อยู่ในระหว่างเตรียมรับสถานการณ์ที่สำคัญจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการเดินทางเข้าประเทศไทยที่จะมีความเข้มงวดจาก 4 ประเทศ และ 2 เขตเศรษฐกิจที่เป็นประเทศกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ อิหร่าน อิตาลี ฮ่องกง และมาเก๊า ซึ่งถือเป็นมาตรการสูงสุดอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีการประกาศประเทศเขตโรคติดต่อแต่อย่างใด ขอประเมินสถานการณ์รายวัน แต่จะใช้ความเข้มงวดกวดขันในการเดินทางเข้าประเทศไทยสูงสุด
สำหรับเทศกาลสงกรานต์ เดิม ครม. เคยมีมติให้วันหยุดเทศกาลสงกรานต์ปีนี้หยุดยาวรวม 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 11-15 เมษายน แต่ที่ประชุมได้มีมติเห็นว่าการมีวันหยุดยาว 5 วัน อาจทำให้ประชาชนเคลื่อนย้ายและเดินทางมากผิดปกติ ซึ่งการเคลื่อนย้ายในช่วงเวลาเดียวกันอาจทำให้เสี่ยงต่ออุบัติเหตุและการติดโรคโควิด-19 คณะแพทย์เกรงว่าจะมีคนใน กทม. ที่เป็นพาหะไปแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว หรือไปติดเชื้อจากต่างจังหวัดแล้วกลับเข้ามา กทม. เพราะมีการรวมตัวกันเกิดขึ้น เป็นโอกาสเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อทั้งสิ้น จึงต้องลดโอกาสเสี่ยงที่บุตรหลานจะนำเชื้อไปแพร่ให้ปู่ย่าตายาย และถ้าเกิดการแพร่เชื้อในต่างจังหวัดจะยุ่งยากกว่า กทม. จึงมีมติเป็นเอกฉันท์เพื่อเสนอต่อ ครม. ให้งดวันหยุดราชการช่วงสงกรานต์ 13-15 เมษายน โดยไม่เป็นวันหยุดราชการหรือวันหยุดงานของภาคเอกชน แต่รัฐจะชดเชยวันหยุดเพื่อให้คนมีโอกาสกลับไปพบญาติมิตร หรือชดเชยแรงงานตามสิทธิที่พึงได้ในโอกาสอื่นต่อไปในปีนี้เมื่อสถานการณ์บรรเทาเบาบางลง ไม่ยุ่งยากต่อการควบคุม ส่วนจะเป็นช่วงเวลาใดจะประกาศให้ทราบต่อไป
ส่วนการยกระดับการป้องกัน การปิดหรือหยุดหรือระงับการเปิดสถานที่บางแห่ง ซึ่งเป็นที่ชุมนุมชนหรือคนไปอยู่รวมกันจำนวนมาก ได้ออกเกณฑ์มา 2 ข้อคือ 1.สถานที่ใดซึ่งมีผู้คนไปชุมนุมกันคราวละมากๆ ชุมนุมเป็นกิจวัตร และมีโอกาสเสี่ยงสูงเพราะมีกิจกรรม สัมผัส พูดจาปราศรัยกันในที่คับแคบ ขอให้มีทางเลือกหรือทางเลี่ยงที่จะชดเชยการชุมนุมได้ ให้เสนอ ครม. เพื่อให้หน่วยงานไปดำเนินการหยุดหรือปิดกิจการเหล่านั้นไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว โดยเริ่มได้ตั้งแต่วันพุธที่ 18 มีนาคม เช่น มหาวิทยาลัยทั้งรัฐและเอกชน โรงเรียนรัฐและเอกชน โรงเรียนนานาชาติ สถานกวดวิชา สนามมวย สนามกีฬาที่มีการสัมผัสถึงกัน เช่น สนามฟุตบอล สนามบาสเกตบอล โรงมหรสพ ส่วนโรงภาพยนตร์ต้องขอดูรายละเอียด หรือกำหนดเกณฑ์ผู้ชุมนุม ส่วนสถานที่อื่น ร้านค้า ร้านอาหาร หรือสถานที่ที่ไม่เข้าเกณฑ์ ยังสามารถเปิดดำเนินการได้ตามปกติ แต่ต้องมีมาตรการรองรับ เช่น วัดไข้ สวมหน้ากากอนามัย จัดที่นั่งให้ห่างกัน 1 เมตรหรือ 1 เมตรเศษ มีเจลล้างมือ โดยให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจตราเป็นระยะ หากพบว่ามีการฝ่าฝืนจะสั่งปิดหรือดำเนินการเป็นรายๆต่อไป โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ มาตรา 35
นายวิษณุกล่าวว่า นายกฯยังกำชับเรื่องมาตรการป้องกันอีกว่า ต้องให้ความรู้แก่ประชาชนในการดูแลตัวเองให้ถูกต้อง และให้กำหนดมาตรการเลื่อนหรือเหลื่อมเวลาทำงาน เพื่อลดจำนวนคนที่จะต้องเดินทางไปทำงานพร้อมๆกัน และเหลื่อมเวลาในการรับประทานอาหารกลางวัน เพื่อไม่ทำให้เกิดความแออัดในการรับประทานอาหาร การจัดที่นั่งให้ห่างกัน 1 เมตร นอกจากนี้นายกฯยังสั่งการให้ทุกกระทรวงพิจารณาเรื่องการให้งานไปทำที่บ้าน เพื่อเลี่ยงการชุมนุมพร้อมๆกัน และให้กระทรวงรายงานให้ ครม. ทราบทุกๆ 7 วัน ส่วนภาคเอกชนและบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ดำเนินการไปแล้ว อีกทั้งยังขอความร่วมมือไปยังบริษัทเอกชนที่จะมีการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นที่มีกำหนดการประชุมประจำปีในเดือนเมษายนขอให้เลื่อนการประชุมออกไป หรือถ้ามีความจำเป็นจริงๆขอให้ประชุมทางไกลผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งเป็นไปตามประกาศ คสช. ที่สามารถทำได้
“นายกฯขอให้เรื่องโควิด-19 เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดอันดับหนึ่งของประเทศ ส่วนเรื่องอื่น เศรษฐกิจ ผลกระทบการท่องเที่ยว การค้าขาย มีความสำคัญเป็นลำดับสอง เราต้องเอาชีวิตของประชาชนให้รอดไปก่อน เพราะไม่รู้ว่าไปข้างหน้าศึกนี้จะไปขนาดไหน เมื่อศึกเบาบางลง เศรษฐกิจสามารถฟื้นฟูเยียวยาได้ในเวลาต่อมา สามารถมีมาตรการอัดฉีดเร่งรัดได้ เราต้องเอาโควิด-19 มาเป็นลำดับแรกและเร่งด่วน”
เมื่อถามว่าการจะจัดสอบใหญ่ๆยังสามารถทำได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า แต่ละแห่งจะพิจารณาตามความเหมาะสม ซึ่งมีการรายงานถึงนายกฯแล้วว่า บางแห่งมีความจำเป็นต้องจัด แต่ต้องมีมาตรการดูแล เช่น แจกหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ นั่งห่างกัน 2 เมตร ถ้าทำไม่ได้ให้เลื่อนไปก่อน ส่วนเรื่องเกณฑ์ทหารกระทรวงกลาโหมให้เลื่อนไปก่อน แต่ไม่ถึงขนาดเลิกเกณฑ์ทหาร อย่างไรก็ตาม การจัดงานศพ งานแต่ง งานวันเกิด มาตรการของรัฐยังไม่ลงไปลึกขนาดนั้น เพราะความเสี่ยงน้อย เป็นการพบปะกันไม่นาน เจ้าภาพสามารถมีมาตรการรองรับ เช่น การแจกหน้ากากอนามัย และแนะนำว่าให้หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร่วมกันหรือการสังสรรค์จะดีที่สุด
You must be logged in to post a comment Login