- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
TBCSD ร่วมขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน ขานรับมาตรการงดเผาในพื้นที่เกษตร ลดหมอกควัน
สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ที่เกิดขึ้นในเขตเมืองและอีกหลายพื้นที่ในประเทศไทยได้ส่งผลกระทบทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสุขภาพอนามัยของประชาชนเป็นอย่างมาก แม้ว่ารัฐบาลจะยกระดับความสำคัญของปัญหา PM2.5 ให้เป็นวาระระดับชาติ แต่ในปัจจุบันปัญหาดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และขยายวงกว้างออกไป ขณะที่แหล่งกำเนิดที่สำคัญในการระบายฝุ่น PM2.5 มาจากหลายกิจกรรม ทั้งการจราจรขนส่งทางบก การเผาชีวมวลประเภทต่าง ๆ ในที่โล่ง ทั้งเศษวัสดุทางการเกษตร และขยะ โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ การป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนมาร่วมด้วยช่วยกัน
เมื่อเร็วๆ นี้ องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Thailand Business Council for Sustainable Development :TBCSD) และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ได้จัดงานเสวนา “ภาคธุรกิจไทย (TBCSD) กับการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา PM2.5” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานและองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและแก้ไขปัญหา PM2.5 การมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง ตลอดจนร่วมกันหาแนวทางการบริหารจัดการแบบบูรณาการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้ง นำเสนอบทสรุปและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการแก้ไขปัญหา PM2.5 จากกลุ่ม TBCSD ที่จะนำไปขับเคลื่อนและเสนอแนะต่อระดับนโยบายต่อไป
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) กล่าวว่า ประเด็นปัญหาเรื่อง PM2.5 ปัจจุบันได้ยกระดับกลายเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ (Country Issue) ที่ต้องมีการดำเนินงานแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนโดยทุกภาคส่วน เนื่องจากมีผลกระทบต่อประชาชนและประเทศในวงกว้างทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การแก้ปัญหาจึงต้องพิจารณาข้อมูลและหลักฐานที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ และที่สำคัญต้องอาศัยความร่วมมือที่เข้มแข็งของทุกภาคส่วน โดย TBCSD ก่อตั้งมาเกือบ 30 ปีแล้ว และมีสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) เป็นสำนักเลขาธิการ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบนเส้นทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน TBCSD ได้สั่งสมประสบการณ์และยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา TBCSD ได้ประกาศแนวทางการขับเคลื่อน TBCSD ในก้าวต่อไป ภายใต้ TBCSD New Chapter ซึ่งเป็นการแสดงจุดยืนครั้งสำคัญในการรวมพลังกันของธุรกิจชั้นแนวหน้าในประเทศไทย ที่จะเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน มุ่งมั่นเพื่อ “ส่งเสริมให้ธุรกิจในประเทศไทยมีความยั่งยืนและประสบความสำเร็จ เพื่อช่วยการเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกที่ยั่งยืน” ปัจจุบัน TBCSD มีองค์กรสมาชิกจากกลุ่มธุรกิจหลักของประเทศกว่า 40 องค์กร จากการร่วมพลังความร่วมมือของกลุ่มธุรกิจไทย TBCSD จะดำเนินการขับเคลื่อนงานไปยังประเด็นกรณี PM2.5 ซึ่งเป็นประเด็นที่จะต้องใช้พลังความร่วมมือ ในการรวบรวมองค์ความรู้ สร้างความเข้าใจ และปรับระบบการทำงานให้เอื้อต่อการปฏิบัติงานในการแก้ปัญหา โดยต้องอาศัยภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็งในการดำเนินงานร่วมกัน จึงได้มีการหารือกันทั้งภายในสมาชิกเอง กับองค์กรพันธมิตรและภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้และสร้างความเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงและแนวทางที่เป็นไปได้ในการป้องกันปัญหา แก้ไขปัญหาและลดผลกระทบของปัญหาในด้านต่างๆ อันนำมาสู่บทสรุปและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการแก้ไขปัญหา PM2.5 จากกลุ่ม TBCSD ที่จะนำไปขับเคลื่อนและเสนอแนะรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การผลักดันนโยบายที่เป็นธรรมกับทุกภาคส่วน เพื่อนำไปสู่แนวปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
“ปัญหา PM2.5 จะยังอยู่กับพวกเราไปอีกนาน และต้องมีมาตรการในการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ต้องมีการตั้งเป้าหมาย มีตัวชี้วัด มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ไม่ใช่ทำแค่เฉพาะตอนที่มีปัญหาเกิดขึ้น และหยุดตอนที่ปัญหาหมดไป ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าสาเหตุหลักของปัญหา PM2.5 ว่าเกิดจากเครื่องยนต์ดีเซล เกิดจากการเผาในที่โล่งเป็นหลัก ดังนั้น การแก้ไขปัญหาต้องทำอย่างต่อเนื่อง และต้องมองให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อความเป็นธรรมของทุกภาคส่วน เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน” นายประเสริฐ กล่าว
นายวิชัย ไตรสุรัตน์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้มีการเริ่มดำเนินการโครงการนำร่องมาแล้วตั้งแต่ปี 2557 ในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือที่ประสบปัญหาหมอกควันอย่างรุนแรง 10 จังหวัด จนถึงในปี 2562 ได้ขยายพื้นที่ดำเนินการออกไปสู่จังหวัดที่มีการเผาสูง อีก 16 จังหวัด และในปีนี้ (2563) ได้แต่งตั้งคณะทำงานป้องกันและเฝ้าระวังการเผาเศษซากพืชหรือวัชพืชและเศษวัสดุทางการเกษตร เพื่อบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภายในและภายนอกสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหา และการดำเนินการในพื้นที่ ใช้กลไกการดำเนินงานของจังหวัดผ่านคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนงานนโยบายสำคัญและการแก้ไขปัญหาภาคเกษตรระดับจังหวัด (CoO) และคณะทำงานปฏิบัติการขับเคลื่อนงานนโยบายสำคัญและแก้ไขปัญหาการเกษตรระดับอำเภอ (OT) จัดทำแผน/มาตรการป้องกันและเฝ้าระวังระดับจังหวัด จัดตั้งชุดปฏิบัติการเฝ้าระวังการเผา ในระดับอำเภอ ดำเนินการ “4 พื้นที่ 5 มาตรการบริหารจัดการ” มุ่งเน้นที่พื้นที่เปราะบางมาก จำนวน 115,482 ไร่ ใน 35 จังหวัด แบ่งเป็น ข้าว 29,920 ไร่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 3,779 ไร่ และอ้อยโรงงาน 81,783 โดยเฉพาะในส่วนของอ้อยโรงงาน ได้ขอความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล ให้กำหนดมาตรการให้โรงงานน้ำตาลรับซื้ออ้อยสดแทนอ้อยเผา รวมถึง การบรรเทาสถานการณ์ให้เบาลง กรมฝนหลวงและการบินเกษตรได้จัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 18 หน่วยปฏิบัติการในทุกภาค เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงในการบรรเทาทั้งปัญหาภัยแล้งและสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันที่เกิดขึ้น และ 4. ล่าสุด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยความร่วมมือจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และภาคส่วนต่างๆ ได้จัดโครงการ Green City by MOAC มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อมที่จะสามารถช่วยแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ โดยการจัดหาต้นไม้ที่มีประสิทธิภาพในการดักฝุ่น เพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชนได้ร่วมกันปลูกตามที่ต่างๆ ดำเนินการในพื้นที่ทั้ง 77 จังหวัด โดยในระยะแรกจะเริ่มในพื้นที่กรุงเทพมหานครและขยายผลในพื้นที่ โดยเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2563 ได้แจกจ่ายต้นไม้ให้แก่ประชาชนไปแล้ว 194,500 ต้น
นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่ารัฐบาลมีความห่วงใยและให้ความสำคัญกับการป้องกันและแก้ไขปัญหา PM2.5 มาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 คณะรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” เพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหา PM2.5 เป็นไปอย่างบูรณาการ มีทิศทางที่ชัดเจน และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ประกอบด้วย 3 มาตรการหลัก ได้แก่ มาตรการที่ 1 การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ มาตรการที่ 2 ป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง (แหล่งกำเนิด) และ มาตรการที่ 3 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ พร้อมกันนี้ ภาครัฐให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ข้อมูลคุณภาพาอากาศและสร้างการรับรู้ ผ่านทางสื่อโซเชียล วิทยุ โทรทัศน์ แอพพลิเคชั่น ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง และจะขยายเครือข่ายตรวจวัด PM2.5 ให้ครอบคลุมพื้นที่สำคัญภายในปี 2564 และจะพิจารณาปรับค่ามาตรฐาน PM2.5 เฉลี่ยรายปีให้เป็นไปตามเป้าหมายระยะที่ 3 ขององค์การอนามัยโลก (37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) ภายในปี 2564 รวมถึงเร่งพัฒนาระบบพยากรณ์สถานการณ์มลพิษทางอากาศเพื่อให้ประชาชนมีข้อมูลในการดูแลสุขภาพและบรรเทาผลกระทบ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทุกหน่วยงาน ได้เร่งรัด ผลักดัน และเข้มงวดในการดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองและหมอกควันอย่างเต็มกำลังความสามารถ ส่งผลให้ค่าฝุ่นละอองในกรุงเทพมหานคร ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ปิดท้ายกันที่ ดร.วิจารย์ สิมาฉายา เลขาธิการองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) และผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) กล่าวว่าแนวทางความร่วมมือของสมาชิก TBCSD เพื่อร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหา PM2.5 โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตที่จะเกิดขึ้นผ่านมาตราการ 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่ 1) มาตรการที่สมาชิกดำเนินการเองโดยสมัครใจ 2) มาตรการที่ขอความร่วมมือจากสมาชิกในช่วงวิกฤติ (ช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม) และ 3) การสร้างการรับรู้แก่พนักงานขององค์กรและประชาชนทั่วไป (เพื่อสร้างแนวร่วมในการแก้ไขปัญหา) ดังนี้ มาตรการที่ดำเนินการเองโดยสมัครใจ สมาชิก TBCSD ดำเนินการตรวจเช็คสภาพรถและเครื่องยนต์อยู่เสมอ (Engine Efficiency) การบรรทุกและขนส่งสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ (Loading Efficiency) และการมีพฤติกรรมการขับขี่ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ (Driving Behavior) ในส่วนของมาตรการที่ขอความร่วมมือจากสมาชิกในช่วงวิกฤติ สมาชิก TBCSD เลือกใช้น้ำมันที่เป็น Bio-based (น้ำมัน B ต่าง ๆ) หรือ ก๊าซธรรมชาติ (CNG) หรือน้ำมันที่มีสารกำมะถันต่ำ (ไม่เกิน 10 ppm) หรือ ตามมาตรฐาน Euro 5 เพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายสินค้า ลดการนำรถบรรทุกดีเซลขนาดใหญ่เข้าพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ ลดการใช้รถใช้ถนน และส่งเสริมการทำเกษตรที่ไม่เผาชีวมวล ในส่วนของการสร้างการรับรู้แก่พนักงานขององค์กรและประชาชนทั่วไป สร้างการรับรู้ถึงปัญหา ผลกระทบของฝุ่น PM2.5 และวิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยการประชาสัมพันธ์ในเชิงรุกและใช้ประโยชน์จากสื่อออนไลน์ ซึ่งสามารถส่งข้อมูลถึงคนได้ในวงกว้างและรวดเร็ว เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา PM2.5 นอกจากนี้ TBCSD ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นธุรกิจชั้นนำของประเทศเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ยังได้มีการคิดค้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ และลดผลกระทบในทุกด้านทั้งในช่วงวิกฤตและในระยะยาว
ในส่วนของ TBCSD ได้รวบรวมข้อเสนอแนะมาตรการแก้ไขปัญหา PM2.5 จากกลุ่ม TBCSD เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาล ดังนี้ 1. ขอให้รัฐบาลเร่งรัดการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” และหลักการ 12 มาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ให้เป็นรูปธรรม 2. สนับสนุนและสร้างแรงจูงใจในการลดการปล่อย PM2.5 3. เร่งรัดโครงการรถไฟฟ้าให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 4. ส่งเสริมและสนับสนุนงานวิจัยที่วิเคราะห์ต้นทุนในทุกมิติที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา PM2.5 ให้เป็นรูปธรรม 5. พัฒนาเครือข่ายการตรวจวัด PM2.5 ให้เป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วน และ 6.การสื่อสารข้อมูล PM2.5 ให้เป็นเอกภาพ พร้อมสร้างแนวร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป อันนำไปสู่การผลักดันนโยบายที่เป็นธรรมกับทุกภาคส่วน เพื่อนำไปสู่แนวปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการจัดการ PM2.5 ของประเทศต่อไป
ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อประเทศในวงกว้าง จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการร่วมวางแผนและกำหนดแนวทางหรือมาตรการที่เข้มงวดเพื่อรับมือและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เป็นรูปธรรม
You must be logged in to post a comment Login