วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

MTC ย้ำปี 63 โต 20-25% ทะลุเป้า-หนี้เน่าไม่เกิน 2%

On March 20, 2020

นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC) เปิดเผยถึงกรณีที่มีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19   อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน และตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับตัวสูงขึ้นว่าประเด็นดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ MTC โดยยังคงมั่นใจว่าผลการดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปี กล่าวคือ ในปี 2563 สินเชื่อจะมีการเติบโต 20-25% และสามารถคุมหนี้  NPL ไม่ให้เกิน 2%

“ในปี 2563 ขณะนี้ผ่านมาได้ 2 เดือน และผมเห็นผลการดำเนินงานทั้งเรื่องยอดปล่อย ยอดเก็บหนี้ และยอดหนี้เสีย ทุกอย่างเป็นไปในแผนงานทุกประการ ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล โดยเฉพาะหนี้เสีย ถึงแม้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะให้เราช่วยเหลือลูกค้าในการรีไฟแนนซ์ให้ลูกค้าได้ แต่ถ้าเป็นลูกค้าที่มีประวัติค้างชำระเกิน 3 เดือน ทางบริษัทฯก็ยังคงตั้งสำรองหนี้เสียไว้ครบ 100% ตามเกณฑ์มาตรฐานบัญชีทุกประการ โดยไม่มีข้อยกเว้น สำหรับเรื่องอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคล (P-Loan) จากการพูดคุยกับทาง ธปท. ก็ยังไม่มีนโยบายที่จะลดดอกเบี้ยลงจาก 28% แต่ประการใด”

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า บริษัทฯอาจจะขาดสภาพคล่องทางการเงินโดยเฉพาะการชำระหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดภายในปีนี้ นายชูชาติ ชี้แจงว่า หุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระที่เหลือในปีนี้ จำนวน 6,200 ล้านบาท นั้น จะทยอยครบกำหนดเป็นรายไตรมาส ซึ่งบริษัทฯมีสภาพคล่องจำนวนมาก ทั้งนี้เนื่องจากได้รับวงเงินตั๋ว P/N, B/E รวมทั้งเงินกู้จากธนาคาร 11,000 ล้านบาท ให้สำรองเบิกใช้ได้เมื่อมีความจำเป็น รวมทั้งบริษัทฯสามารถออกหุ้นกู้ใหม่ เพื่อขยายธุรกิจในอนาคตได้อีก

ทั้งนี้ เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E Raito ของบริษัทต่ำมากเพียง 2.8 เท่า มีศักยภาพสามารถที่จะขอรับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินได้เพิ่มถึง 4.5 เท่า  เพื่อรองรับการขยายสาขาในการปล่อยสินเชื่อ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ  นอกจากนี้ Rating ที่บริษัทฯได้รับปัจจุบันคือ BBB+ ซึ่งได้รับมาเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว มีแนวโน้มว่าถ้ายังคงการเติบโต และเป็นผู้นำการตลาดได้ บริษัทฯมีโอกาสที่จะปรับ Rating ให้สูงขึ้นเป็น A- ภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตามยอมรับว่ามีความกังวลต่อราคาหุ้น MTC ที่ปรับตัวลดลงมากจนกระทั่งต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็น  ทั้งนี้จากการศึกษาในเบื้องต้นพบว่ามีหลายแนวทางที่จะสามารถนำมาใช้  เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้  แต่จะต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุมและเลือกวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง


You must be logged in to post a comment Login