- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 2 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 2 months ago
- โลกธรรมPosted 2 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 2 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 2 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 2 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 2 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 2 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 2 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 2 months ago
ศรัทธามิใช่ความงมงาย

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 3-10 เมษายน 2563)
นบีมุฮัมมัดเคยกล่าวว่า “ใครที่พระเจ้าจะให้เขาได้รับความดี พระองค์จะให้คนผู้นั้นเข้าใจศาสนา” เพราะศาสนาคือแนวทางหรือคู่มือการใช้ชีวิตที่พระเจ้าประทานมาเพื่อให้มนุษย์ได้รับความสุขความเจริญในโลกนี้ และได้รับความรอดพ้นในโลกหน้า
ถ้ารู้ศาสนาแต่ไม่เข้าใจเจตนาและวัตถุประสงค์ของศาสนา การปฏิบัติศาสนาจะผิดเพี้ยนไป และเมื่อปฏิบัติผิดๆกันต่อมาจนเป็นที่ยอมรับ ผู้คนก็จะเชื่อว่าการปฏิบัติผิดๆนั้นเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา
คำสอนเรื่อง “พรหมลิขิต” ทำให้ผู้คนในอดีตคิดว่าพระเจ้า (พรหม) สร้างมนุษย์ขึ้นมาและกำหนดชะตากรรมของมนุษย์ไว้ มนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตของตนได้ คนที่เข้าใจเช่นนั้นจึงปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปตามยถา
เมื่อชาวกรีกกรีธาทัพมารุกรานตอนเหนือของอนุทวีป ชาวกรีกได้ใช้ความเข้าใจผิดๆในเรื่องพรหมลิขิตของคนในยุคคัมภีร์พระเวทมาใช้ประโยชน์ทางการเมืองและการปกครองด้วยการสร้างระบบวรรณะขึ้นมา โดยอ้างว่าพรหมสร้างมนุษย์ขึ้นมาเป็น 4 วรรณะ และทำให้คนเชื่อว่าระบบวรรณะเป็นคำสอนในศาสนาพราหมณ์
ในอิสลามมีหลักความเชื่อเหมือนกันว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างและเป็นผู้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ในเรื่องความดีและสิ่งเลวร้ายพระเจ้าก็เป็นผู้กำหนด คนมุสลิมรู้เรื่องนี้เพราะถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก แต่บางคนไม่เข้าใจว่าในอีกด้านหนึ่งมีคำสอนในคัมภีร์กุรอานกล่าวว่า “พระเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลงชนชาติใดจนกว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวของเขาเองเสียก่อน”
การระบาดของโรค Covid-19 ที่แพร่ขยายไปทั่วโลกทำให้คนส่วนหนึ่งเชื่อว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนด และเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ให้ชีวิตและผู้ให้ตาย คนส่วนนี้จึงปล่อยให้ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับพระเจ้าและใช้ชีวิตโดยไม่ระวังหรือเตรียมการ นี่คือตัวอย่างของคนรู้ศาสนาแต่ไม่เข้าใจศาสนา
ในคัมภีร์กุรอานมีเรื่องราวของนบียูซุฟที่ต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดในแผ่นดินปาเลสไตน์มาอยู่ในอียิปต์ แต่นบียูซุฟได้รับความรู้พิเศษในเรื่องการทำนายฝัน ครั้งหนึ่งเมื่อกษัตริย์อียิปต์ฝันเห็นวัวผอม 7 ตัว กินวัวอ้วน 7 ตัว และเห็นข้าวโพดฝักสมบูรณ์ 7 ฝัก กับข้าวโพดฝักลีบ 7 ฝัก รุ่งเช้ากษัตริย์ได้เรียกโหรมาทำนายฝัน แต่ไม่มีโหรคนใดทำนายได้
นบียูซุฟได้ถูกตามตัวมาเพื่อทำนายฝันของกษัตริย์ เขาทำนายว่าอีก 7 ปีข้างหน้า แผ่นดินอียิปต์จะเกิดความแห้งแล้งเป็นเวลา 7 ปี และขออาสารับใช้กษัตริย์อียิปต์ในการแก้ปัญหาความอดอยากขาดแคลนที่จะเกิดจากภาวะแห้งแล้งด้วยตัวเอง
ไม่มีใครอยากให้ภาวะอดอยากขาดแคลนเกิดขึ้น นบียูซุฟยอมรับว่ามันเป็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนด แต่นบียูซุฟรู้ว่าความแห้งแล้งที่จะเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการแสดงให้มนุษย์เห็นถึงความอ่อนแอของตนเอง อย่างไรก็ตาม ถ้านบียูซุฟรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าและปล่อยให้ความแห้งแล้งเกิดขึ้นโดยไม่คิดเตรียมการอะไร ผู้คนในอียิปต์และประเทศข้างเคียงจะต้องอดตายกันเป็นเบือ นบียูซุฟไม่ได้ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามยถา แต่เขาอาสาเข้ามาแก้ปัญหาเพื่อปกป้องชีวิตของมนุษย์ที่เป็นสิ่งมีค่าที่พระเจ้ามอบให้มนุษย์
นบียูซุฟรู้ว่าไม่มีใครสามารถห้ามภาวะภัยแล้งที่พระเจ้าจะให้เกิดขึ้นได้ แต่เขาไม่รอให้ภัยแล้งมาคร่าชีวิตผู้คน ก่อนเกิดภัยแล้งเขาสั่งให้ชาวอียิปต์ช่วยกันเตรียมป้องกันความอดอยากขาดแคลน โดยการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวเมล็ดข้าวสะสมไว้ในยุ้งฉางให้มากที่สุดเพื่อมีกินในยามขาดแคลน เมื่อภัยแล้งมาถึงชาวอียิปต์จึงไม่อดตายเพราะมีการเตรียมการล่วงหน้า
นบีมุฮัมมัดเป็นนบีอีกคนหนึ่งที่พระเจ้าส่งมาเพื่อนำอิสลามสู่มนุษยชาติ ท่านเป็นที่รักของพระเจ้าและได้รับความคุ้มครองจากพระองค์ตลอดเวลาเพื่อให้การปฏิบัติภารกิจของพระองค์ลุล่วงไป อย่างไรก็ตาม ในยามทำสงครามป้องกันการรุกราน แม้ท่านจะวิงวอนขอความคุ้มครองจากพระเจ้าที่ท่านไว้ใจว่าจะทรงคุ้มครองท่าน แต่ท่านยังสวมเสื้อเกราะเป็นการป้องกันตัวเองในส่วนที่ทำได้
ความศรัทธาในศาสนาไม่ได้สอนให้คนเชื่ออย่างมืดบอดและไม่ใช้สติปัญญา เพราะวัตถุประสงค์ประการหนึ่งของศาสนาคือเพื่อรักษาชีวิตของมนุษย์
You must be logged in to post a comment Login