คอลัมน์ : สำนักข่าวพระพยอม
ผู้เขียน : พระพยอม กัลยาโณ
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 17 เม.ย. 63)
เรื่องวิกฤตเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำอะไรต่อมิอะไรให้ความเดือดร้อนกระจายไปทั่วก็มีครูที่จ.อุดรธานี ท่านเป็นครูเกษียณ หวังจะได้ซื้อที่ดินปลูกบ้านเพื่อวัยเกษียณจะได้อยู่เป็นสุขบ้าง ไปค้ำประกัน เรื่องของเรื่องอยู่ตรงที่ว่า ไปค้ำประกันเงินกู้กยส.ให้กับลูกศิษย์ แต่แล้วลูกศิษย์ก็เปรี้ยวหนี้ เจอลูกศิษย์ทรพีเข้า เปรี้ยวหนี้ไม่ยอมใช้ หรือเป็นเพราะเหตุว่า ตกงานช่วงนี้ไม่มีเงินมาจ่าย 2 แสนกว่าบาท ส่งผลให้ครูท่านนี้โดนยึดที่ดินไปอย่างน่าเสียดาย
เรื่องราวมีอยู่ว่า นางธนวรรณ ชุมแวงวาปี อายุ 63 ปี อดีตข้าราชการครูเกษียณ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตอุดรธานี อยู่ที่บ้านหนองสวรรค์ ต.เชียงพิณ อ.เมือง จ.อุดรธานี เข้าร้องขอความเป็นธรรมจากสื่อมวลชนที่ สภ.เมืองอุดรธานี ว่าเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ให้ น.ส.น้ำฝน อายุ 39 ปี ซึ่งเป็นลูกศิษย์ แต่เมื่อลูกศิษย์เรียนจบกลับไม่ใช้หนี้กองทุนทำให้ถูกกรมบังคับคดีอายัดที่ดิน 53 ตารางวา ที่เตรียมจะสร้างบ้านทำให้เดือดร้อนอย่างหนัก
นางธนธรรณ เล่าว่า ตนรับราชการที่มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ตั้งแต่เริ่มต้นจนเกษียณอายุราชการไม่เคยย้ายไปที่ไหน ตนเป็นครูที่ปรึกษาชั้น ปวช.1 ต่อมามี น.ส.น้ำฝน นักศึกษาชั้น ปวช.1 ซึ่งเป็นนักศึกษายากจน พ่อแม่ไปทำงานรับจ้างที่กรุงเทพฯ ต้องอาศัยอยู่กับยาย ป้า และลุง ไม่มีเงินเรียนจึงได้ช่วยให้ลูกศิษย์ด้วยการกู้เงินกองทุน กยศ. และตนเป็นผู้ค้ำประกันปีแรก 18,628 บาท ส่วนปีถัดมาจนถึงจบปริญญาตรีมีญาติของ น.ส.น้ำฝน เป็นคนค้ำ รวมผู้ค้ำทั้งหมด 4 คน เงินกู้ทั้งหมด 159,195 บาท นอกจากนี้ตนยังได้ทำเรื่องขอทุนการศึกษาต่อเนื่องจนจบปริญญาตรีให้อีก ซึ่งตนจะค้ำประกันให้ลูกศิษย์ที่กู้เงิน กยศ. รวมแล้วประมาณ 10 คน
หลังน.ส.น้ำฝน เรียนจบชั้น ปวส.และไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานีจนจบ ตนก็ไม่เคยพบ น.ส.น้ำฝนอีกเลย กระทั่งตนเกษียณอายุราชการ ตนต้องออกจากบ้านพักข้าราชการไปอยู่กับลูกสาวที่กรุงเทพฯ แต่รู้สึกไม่ชอบและเพราะไม่คุ้นเคยกับสังคมเมืองหลวงจึงกลับมา จ.อุดรธานี เพื่อจะมาสร้างบ้านบนที่ดิน 53 ตารางวา ในเขตเทศบาลนครอุดรธานี ซึ่งได้ซื้อไว้ขณะรับราชการหวังว่าเมื่อเกษียณราชการแล้วจะมาสร้างบ้านหลังเล็กๆ ไว้อยู่อาศัยในยามชรา ช่วงยังไม่ได้สร้างบ้านได้ไปขออาศัยอยู่กับลูกศิษย์ที่เคยสอน และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ชวนกันมาดูที่ดิน เพื่อจะถมดินเตรียมสร้างบ้าน
เมื่อมาถึงที่ดินแปลงดังกล่าวก็ต้องตกใจ เพราะมีหนังสือของกรมบังคับคดีติดประกาศไว้ที่รั้วมายึดที่ดินแปลงนี้แล้ว เพื่อขายทอดตลาดตามราคาประเมิณตารางวาละ 1 หมื่นบาท 53 ตารางวา 5.3 แสนบาท ตนจึงไปสอบถามที่สำนักงานบังคับคดีอุดรธานี จึงทราบว่าเป็นคดีที่ กยศ.ฟ้อง น.ส.น้ำฝน ไม่ใช้หนี้ กยศ. รวมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ย 238,583 บาท กระทั่งกรมบังคับคดีตามยึดทรัพย์ผู้ค้ำประกันเงินกู้ ซึ่งมีทั้งหมด 4 คน รวมทั้งตนด้วย แต่ผู้ค้ำรายอื่นซึ่งเป็นญาติ น.ส.น้ำฝน ไม่มีทรัพย์สินให้อายัดหรือยึด บางคนก็เสียชีวิตแล้ว มีแต่ตนเพียงผู้เดียวที่มีทรัพย์สินจึงถูกอายัดที่ดินแปลงดังกล่าว
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นโบราณเขาถึงบอกว่า อยากเป็นนายหนี้ให้เป็นนายหน้า อยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน ดังนั้นการเป็นนายประกันทำให้ลำบาก ทนทุกข์กันอย่างนี้ ก็ต้องเรียกว่า ความทุกข์เกิดจากการไปประกันให้เขาแล้วก็ถูกให้ต้องมายึดที่ดินกัน เรียกว่า คนลำบาก ไม่เมตตาก็หาว่า อาจารย์ไม่รักลูกศิษย์ แต่พอให้ไปลูกศิษย์ไม่ให้อาจารย์บ้าง กลายเป็นเรื่องแย่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงต้องบอกกันว่า ถ้าเราจะช่วยเหลือใครก็ให้ดูละเอียดบ้าง โบราณเขาบอกว่า เอ็นดูเขาระวังเอ็นเราจะขาด
ไม่ใช่เป็นเรื่องลามกอะไร เป็นการเปรียบเทียบว่า ถ้าเราเอ็นดูเมตตา แต่แล้วเขาไม่ซื่อสัตย์ เราก็เสียที่ดินหลุดขาดกระเด็น ซึ่งครูที่เป็นคนค้ำประกันปรากฏว่า ต้องฝันสลายจากที่เคยคิดว่า จะเอาที่ดินตรงนี้มาสร้างบ้านยามเกษียณ ถ้าคนเรานี่มันไม่ซื้อตรงและไม่เป็นไปตามสัญญาว่า จะหามาใช้ครูก็จะได้สบาย คนที่ทำให้ครูเดือดร้อนมันจะต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อนต่อขยายไป เพราะมีหลายรายแล้วที่เรื่องค้ำประกันทำให้คนที่ค้ำประกันทำให้ตัวเองได้รับความเดือดร้อน เพราะถูกเบี้ยวให้เห็นอยู่บ่อยๆ
เป็นครูให้บทเรียนสอนเด็ก สอนลูกศิษย์ แต่ว่า ไม่ได้บทเรียนนี้เอามาป้องกันชีวิต เลยทำให้ชีวิตนี้ต้องเจ็บปวด เดือดร้อน สาหัสสากรรจ์ ถ้าจะให้เป็นสุขกันแล้ว ฝ่ายค้ำประกันก็ต้องมีความรอบคอบ ฝ่ายขอให้เขาช่วยเหลือก็ควรจะมีความซื่อตรง ถ้ามีแต่ความคดโกง เชื่อว่า ต่อไปอนาคตก็คงเจริญยาก และคงจะหยิบยืมใครที่ไหนอีกไม่ได้ไปตลอดชีวิต ถ้าผู้ที่จะให้ยืมรู้ที่มา ที่ไป รู้กำพืดบูมหลังว่า ก่ออะไรมาก่อน เขาก็คงจะไม่หลวมตัวให้หยิบ ให้ยืม แต่ถ้าเกิดมีความจำเป็นขึ้นมา เดือดร้อนอีกก็จะหยิบยืม ลำบาก สาหัสสากรรจ์
เพราะฉะนั้น อาตมาอยากจะฝากว่า อย่าทำ อย่าคิดไปกระทำเรื่องอย่างนี้ให้คนอื่นต้องเดือดร้อน เจ็บปวด ก็หวังว่า บทเรียนเหล่านี้คนอื่นๆก็ต้องดูเอาไว้ว่า เราจะไปช่วยเหลือใครเนี่ย แต่ถ้ามันมากมายเป็นแสนก็ลำบาก อย่างที่วัดก็มีมาเรื่อยๆ อดสงสารก็ไม่ได้ ไม่สงสารก็แลใจดำ ถ้าสงสารไปแล้วไปเจอคนหลอกลวงก็ลำบาก เมื่อไม่กี่วันนี้ คนที่มาจัดการเป็นคนที่ทำหน้าที่เราก็มีครอบครัวเขาเป็นหนี้ ไม่มีค่าเช่าบ้าน เจ้าของบ้านก็ริบของในบ้านไว้ ถ้าไม่มีมาไถ่เขาก็คิดเพิ่มวันละ 50 บาท วิ่งซมซานมาทั้งครอบครัว
มาที่วัดในที่สุดก็ลำบาก ลำบน ทนทุกข์อีก อาตมาก็ช่วยไป 4-5 พันบาท แต่ว่า เอาล่ะ เขาก็มาทำงานใช้ก็รอดตัวไป แต่ถ้าเขาไม่มาทำงานใช้ มูลนิธิเงินก็ร่อยหรอไป เรื่องพรรณนี้มันก็ยุ่งยาก ลำบาก ไม่ช่วยก็หาว่า ใจดำ ช่วยไปก็ไม่รู้ว่า เป็นตายร้ายดี ตายเอาดาบหน้าก็ว่ากันไป แต่เอาล่ะ เมื่อจำเป็นต้องช่วยก็ช่วย ช่วยแล้วอย่าไปทุกข์ร้อน ถ้าช่วยแล้วเดือดร้อนก็อย่าทำดีกว่า ดังนั้นก็คงต้องบอกกันแค่ว่า เป็นบทเรียนก็แล้วกัน
เจริญพร
You must be logged in to post a comment Login