- อย่าไปอินPosted 23 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
บทเรียนจากเดือนรอมฎอน ยิ่งให้ยิ่งเพิ่ม
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 1-8 พ.ค. 2563)
เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลามในเมืองมักก๊ะฮฺ ไม่เพียงแต่ท่านเท่านั้นที่ถูกต่อต้าน แต่ใครก็ตามที่หันมารับความศรัทธาและคำสอนของนบีมุฮัมมัดจะถูกข่มเหงรังแกด้วย ไม่ว่าคนผู้นั้นจะยากดีมีจนหรือมีสถานะทางสังคมอย่างไรก็ตาม
การกดขี่ข่มเหงดำเนินไปเป็นเวลา 13 ปี โดยที่นบีมุฮัมมัดสั่งบรรดาสาวกของท่านมิให้โต้ตอบ แต่ให้ใช้ความอดทนและวิงวอนขอความช่วยเหลือต่อพระเจ้า แต่เมื่อการต่อต้านรุนแรงจนถึงขั้นหัวหน้าเผ่าที่เป็นผู้นำชาวเมืองมักก๊ะฮฺวางแผนลอบสังหารนบีมุฮัมมัด พระเจ้าจึงบัญชาให้ท่านและบรรดาสาวกอพยพไปยังเมืองยัษริบ
การอพยพเป็นไปแบบลับๆ โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ และเดินทางในเวลากลางคืน เพื่อมิให้มีใครรู้ความเคลื่อนไหว จนกระทั่งทุกคนเดินทางไปหมดแล้ว นบีมุฮัมมัดจึงออกเดินทางอพยพเป็นรายสุดท้าย โดยมีสหายสนิทติดตามไปเพียงคนเดียว
มุสลิมที่อพยพไปยังเมืองยัษริบอยู่ในสภาพเดียวกัน นั่นคือทุกคนอยู่ในสภาพยากจน เพราะสาวกของท่านนบีส่วนใหญ่เป็นคนจนหรือไม่ก็เป็นทาส ส่วนคนที่มีฐานะก็ต้องทิ้งทรัพย์สิน เช่น บ้าน สัตว์เลี้ยง และสวนไว้ในมักก๊ะฮฺ ไม่สามารถนำอะไรติดตัวมาได้
เมื่อนบีมุฮัมมัดอพยพตามมาถึง ท่านจำเป็นต้องแก้ปัญหาปากท้องของสาวกของท่านก่อนเป็นเบื้องแรก ท่านขอร้องชาวเมืองมะดีนะฮฺที่เป็นมุสลิมให้รับผู้อพยพจากมักก๊ะฮฺไปอุปการะ โดยจับคู่สร้างความสัมพันธ์ฉันญาติธรรมให้จนถึงขั้นสามารถรับมรดกจากกันได้ แต่ถึงกระนั้นก็ทำได้ไม่กี่คน ยังมีผู้ศรัทธาที่ยากจนอีกหลายๆสิบคนรอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนในมัสยิดที่ท่านสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักพิง
ในสภาพลำบากยากจนดังกล่าว นบีมุฮัมมัดสั่งสาวกของท่านให้ช่วยกันบริจาคสิ่งที่มีแก่คนที่ไม่มี สาวกบางคนเข้าใจเจตนาของท่าน แม้ไม่มีอะไรจะให้ แต่ก็ไปทำงานหรือค้าขายเพื่อหาสิ่งของมาบริจาคตามคำสั่ง สาวกที่ทำเช่นนี้หลายคนได้มีฐานะมั่งคั่งในเวลาต่อมา
ในตอนที่อพยพไปถึงเมืองยัษริบใหม่ๆยังไม่มีคำสั่งเรื่องการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน นบีมุฮัมมัดได้สั่งให้มุสลิมถือศีลอดตามแบบอย่างชาวยิวในยัษริบ แต่เมื่อชาวยิวปฏิเสธการเป็นนบีของท่าน พระเจ้าจึงได้มีบัญชาให้มุสลิมถือศีลอดตามแบบอิสลามในเดือนรอมฎอนอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ในช่วงเวลานั้นแม้ชาวเมืองยัษริบจะมอบความเป็นผู้นำให้แก่นบีมุฮัมมัด แต่ท่านยังไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแลสวัสดิการประชาชน ท่านได้สั่งให้มุสลิมดูแลกันเอง โดยทุกคนที่มีอาหาร เช่น ข้าว แป้ง อินทผลัม เหลือกิน 1 วัน ต้องนำอาหารเหล่านี้ในปริมาณ 4 กอบมือ ไปให้คนยากจนก่อนสิ้นสุดเดือนรอมฎอน อาหารจำนวนนี้ถูกเรียกว่า “ซะกาตุลฟิฏร์” และท่านกล่าวว่า ใครถือศีลอดแล้วไม่จ่ายซะกาตุลฟิฏร์ พระเจ้าจะไม่รับการถือศีลอดของเขา นอกจากนี้แล้วการจ่ายซะกาตจะช่วยชดเชยความบกพร่องในการถือศีลอดอันเกิดจากการซุบซิบนินทา หรือข่มอารมณ์โกรธไม่ได้ เป็นต้น
คำสั่งนี้ออกมาก่อนหน้าการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนจะเริ่มต้น
ในสภาพอดอยากขาดแคลนเช่นนั้น สาวกหลายคนของท่านคิดว่าการเอาอาหารที่ตัวเองมีอยู่ไปให้คนอื่นเป็นทานจะทำให้อาหารของตัวเองลดลง แต่นบีมุฮัมมัดย้ำว่าพระเจ้าจะไม่ทำให้การบริจาคเป็นสาเหตุแห่งความยากจน และพระเจ้าได้กล่าวไว้ในคัมภีร์กุรอานว่า สิ่งที่บริจาคไปในหนทางของพระเจ้าจะเป็นเหมือนเมล็ดข้าวเมล็ดหนึ่งที่แตกออกเป็น 7 รวง แต่ละรวงจะมี 100 เมล็ด
ด้วยความศรัทธาในพระเจ้าและความเชื่อฟังนบีมุฮัมมัดนี้เองที่ทำให้คนมีอาหารเหลือกิน 1 วัน ไปสำรวจคนที่ยากจนกว่าตนและนำอาหารไปให้ แม้ตอนนำอาหารออกจากบ้านของตนไปให้คนยากจน บางคนรู้สึกใจแป้วที่เห็นอาหารในบ้านของตนลดลง แต่เมื่อกลับมาบ้านปรากฏว่ามีคนนำซะกาตฟิฏร์มาให้แก่ตนมากกว่าที่ตัวเองนำไปให้คนอื่น ความเชื่อมั่นว่าการบริจาคไม่ได้ทำให้สิ่งที่ตัวเองมีอยู่น้อยลงจึงเกิดขึ้น และทำให้คนในสังคมบริจาคทานกันมากขึ้น สังคมจึงรอดพ้นจากความอดอยาก
ทุกวันนี้การจ่ายซะกาตฟิฏร์ถือเป็นข้อบังคับสำหรับมุสลิมทุกคนที่จะต้องทำ ไม่แต่เฉพาะของตัวเองเท่านั้น หัวหน้าครอบครัวยังต้องจ่ายแทนทุกคนที่อยู่ภายใต้การดูแลของตนด้วย
You must be logged in to post a comment Login