- อย่าไปอินPosted 3 days ago
- ปีดับคนดังPosted 4 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 5 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 6 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 7 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ม.มหิดลแนะสวดมนต์เจริญสติสู้วิกฤต Covid-19
การปฏิบัติทางศาสนามีความสัมพันธ์กับสังคมและวัฒนธรรม นอกจากนี้ ในช่วงวิกฤต Covid-19 มาตรการรักษาระยะห่าง ไม่ถือเป็นการละเมิดเสรีภาพส่วนบุคคล เนื่องจากเราต่างมีสิทธิในชีวิตและสุขภาพที่ถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน
รองศาสตราจารย์ ดร.ปกรณ์ สิงห์สุริยา หัวหน้าภาควิชามนุษยศาสตร์ และอาจารย์ประจำสาขาวิชาศาสนากับการพัฒนา คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การตอบสนองของศาสนาต่อสถานการณ์ Covid-19 แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์แนบแน่นของศาสนากับบริบท แม้มีชื่อเป็นศาสนาเดียวกัน แต่อยู่ต่างบริบทกัน ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีคำตอบเดียวกัน ศาสนิกที่ไม่ยอมปรับเปลี่ยนก็มี ศาสนิกที่ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ โดยไม่กระทบกับศรัทธาก็มี บ้างก็พบว่ามีการปฏิบัติศาสนกิจผ่านระบบออนไลน์ โดยไม่ต้องไปรวมตัวกันให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
Social Distancing (การเว้นระยะห่างทางสังคม) หรือ Physical Distancing (การเว้นระยะห่างทางกายภาพ) ในมุมมองเชิงจริยศาสตร์ ไม่อาจตีความได้ว่ามาตรการ Social Distancing หรือ Physical Distancing เป็นมาตรการที่ละเมิดเสรีภาพส่วนบุคคล เนื่องจากเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยและสุขภาพของผู้อื่น จึงต้องพิจารณาว่าการกระทำส่วนบุคคลไปกระทบกับส่วนรวมอย่างไรด้วย ซึ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้เห็นชัดเจนว่าพฤติกรรมส่วนบุคคล ในที่สุดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ไปจนถึงระดับภาพรวมของประเทศ
การพูดถึง “สิทธิ” ถ้าเราเอามาใช้แบบไม่ระวัง อาจทำให้สับสนได้ “เสรีภาพ” เป็นสิทธิประเภทหนึ่งที่มีได้เฉพาะในเวลาที่ไม่มี “หน้าที่” ต่อบุคคลอื่น แต่เราต่างก็มีสิทธิในชีวิตและสุขภาพ เราจึงมีหน้าที่ที่จะต้องไม่ไปละเมิดต่อสิทธิในชีวิตและสุขภาพของผู้อื่นด้วย ในกรณีนี้จึงไม่ถือว่ามีความขัดแย้งกันระหว่างการเคารพเสรีภาพส่วนบุคคลกับการมีหน้าที่ความรับผิดชอบต่อบุคคลอื่น
พระไพศาล วิสาโล กล่าวไว้ว่า วิกฤต Covid-19 จะเป็นโอกาสที่ทำให้เราเข้าใจสัจธรรมของมนุษย์ ให้เราได้มีสติระวังตัว และที่สำคัญได้ฝึกพรหมวิหารสี่ คือ “ความเมตตา” กับผู้อื่นด้วย
รองศาสตราจารย์ ดร.ปกรณ์ สิงห์สุริยา อธิบายว่าหลักทั่วไปของ “การฝึกสติ” คือ รู้สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะปัจจุบัน โดยไม่จมเข้าไปอยู่ในสิ่งนั้น และไม่ผลัก หรือปฏิเสธสิ่งนั้น แต่ให้ดูด้วยความเป็นกลาง ความยากอยู่ตรงที่เมื่อเราลงมือฝึกสติ เรามักจะจมหรือผลักโดยไม่รู้ตัว ถ้าเราพยายามไปฝึกมากๆ แทนที่จะเป็นการช่วยทางใจ จะกลายเป็นการเพิ่มความเครียดยิ่งไปอีก
จึงมีการพัฒนาเทคนิคต่างๆ ขึ้นมาในการฝึกสติ ไม่ว่าในศาสนา หรือจิตวิทยา เช่น สวดมนต์ ตามลมหายใจ หรือเคลื่อนไหวร่างกาย ข้อแนะนำคือ หาเทคนิคที่เหมาะสมกับตัวเอง แล้วก็ตั้งใจทำตามเทคนิคนั้น โดยไม่ต้องไปหวังผลเพื่อบรรเทาความเครียด ควรมองว่าการฝึกสตินั้นเป็นเพียงส่วนเสริมในชีวิตที่ทำเป็นกิจวัตร มากกว่ามองไปในทางที่จะฝึกให้ไปบรรลุธรรม
“การสวดมนต์อาจช่วยเยียวยาจิตใจในสถานการณ์เช่นนี้ได้ โดยเวลาสวดให้รู้สึกถึงการออกเสียง และรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นด้วยจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ช่วยบรรเทาความเครียดและความวิตกกังวลลงได้ แม้สิ่งที่เกิดขึ้นเราอาจควบคุมไม่ได้ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้ คือ ความรับผิดชอบต่อตัวเอง และผู้อื่นด้วยความรักและห่วงใย ..เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน” รองศาสตราจารย์ ดร.ปกรณ์ สิงห์สุริยา กล่าวทิ้งท้าย
***สัมภาษณ์ และเขียนข่าวโดย ฐิติรัตน์ เดชพรหม นักประชาสัมพันธ์ (ชำนาญการ) งานสื่อสารองค์กร กองบริหารงานทั่วไป สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โทร. 0-2849-6210
You must be logged in to post a comment Login