คอลัมน์ : สำนักข่าวพระพยอม
ผู้เขียน : พระพยอม กัลยาโณ
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 18 มิ.ย. 63)
ตั้งแต่ตั้งวัดมา วัดสวนแก้วก็มีข่าวคราวเรื่อยๆ ก็จะมีนักข่าวมา 5 ช่อง 3 ช่อง 2 ช่อง แต่เมื่อวันก่อนมีนักข่าวมา 20 ช่องเต็มไปหมด และอาจารย์ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี ก็ได้แถลงข่าวถึงความคืบหน้ากรณีพิพาทที่ดินจำนวน 1 ไร่ 1 งาน 55 ตารางวา ที่ นางวันทนา สุขสำเริง นำมาขายให้กับมูลนิธิวัดสวนแก้ว ในราคา 10 ล้านบาท และทางสำนักงานที่ดินบางใหญ่ได้ออกโฉนดที่ดินให้เป็นกรรมสิทธิ์ของมูลนิธิวัดสวนแก้ว อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ต่อมา ทางทายาทของเจ้าของที่ดินเดิมฟ้องร้องต่อศาลว่า ที่ดินดังกล่าวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของเดิม การครอบครองปรปักษ์ของนางวันทนา ได้มาไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยศาลฎีกามีคำสั่งให้ วัดสวนแก้ว ย้ายสิ่งของออกจากที่ดินดังกล่าวภายในสิ้นเดือนมิ.ย.นี้โดยมีประเด็นประโยคดังต่อไปนี้ว่า อาจารย์ปรเมศวร์ บอกว่า มีแนวโน้มที่วัดจะได้เงินค่าซื้อที่ดิน 10 ล้านบาทคืนได้ ตามที่ได้ซื้อที่ดินไปอย่างสุจริตอย่างแน่นอน และมีคนถามว่า จะได้กี่เปอร์เซ็นต์ อาจารย์ปรเมศวร์ ก็บอกว่า มีโอกาสได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ คงไม่มากแถลงข่าวที่วัดสวนแก้วหรอก
อาจารย์ปรเมศวร์ บอกว่า ตนได้ค้นข้อมูลคำพิพากษาของศาลฎีกาเกี่ยวกับคดีที่ดินในลักษณะดังกล่าว ก็พบว่ามีช่องทางที่จะสู้คดีได้ ส่วนเรื่องที่ว่าทางเจ้าของที่ดินมีกำหนดแจ้งให้ทางวัดย้ายออกจากที่ดินพิพาทนั้น ได้บอกกับพระพยอมไปแล้วว่าให้อยู่เฉยๆ ยังไม่ต้องทำอะไร รอมีหมายบังคับคดีมาติดประกาศเสียก่อน ตอนนี้ได้มีการเตรียมพยานหลักฐาน เอกสารโฉนดที่ดิน สัญญาซื้อขายที่ทางวัดได้ซื้อต่อมาจากนางวันทนาอย่างถูกต้องและสุจริต ซึ่งหากทางฝ่ายทายาทเจ้าของที่ดินจะบังคับให้ทางวัดย้ายออกจากที่ดิน ก็ต้องนำเงิน 10 ล้านบาท ที่ทางมูลนิธิวัดสวนแก้ว จ่ายให้กับ นางวันทนา ไปแล้ว มาคืนให้กับทางมูลนิธิวัดสวนแก้ว
อาจารย์ปรเมศวร์ บอกอีกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของศาล หรือเจ้าหน้าที่ที่ดิน เพราะทราบมาว่า เขาได้ทำตามพยานหลักฐานที่ได้รับ หากเป็นไปได้ก็ควรมีการเข้ามาพูดคุยกันทั้ง 2 ฝ่าย ต่อหน้าสื่อมวลชน ในกรณีที่เจ้าของที่ดินเคยบอกกับหลวงพ่อว่ามีคนมาติดต่อขอซื้อที่ดินในราคา 80 ล้านบาท ก็อยากให้เจ้าของนำไปขายแล้วนำเงินมาคืนวัด 10 ล้านบาท หรือทางเลือกที่ 2 ตามที่ พระพยอม เคยเสนอจ่ายเงินค่าที่ดินเพิ่มให้อีก 3 ล้านบาท เพื่อให้ที่ดินเป็นของวัด ตรงนี้อยากขอให้เข้ามาพูดคุยกันเพื่อหาทางออก เพราะเงินจำนวน 10 ล้านบาทนั้น หลวงพ่อไม่ได้นำไปสร้างคฤหาสน์ส่วนตัวที่ไหน หลวงพ่อก็นำไปสร้างงานให้กับคนทั่วไป
อาตมาก็ได้เสริมไปว่า ขณะนี้เริ่มจะเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์รำไรๆแล้ว เมื่อก่อนนี้มองไปทางไหนเห็นแต่ความมืดมน โอกาสที่จะได้คืนทั้งเงิน ทั้งที่ดินแทบจะไม่มีเหลือในความคิด แต่วันนี้ไม่เหมือนวันนั้น ยิ่งพอได้ฟังอาจารย์ปรเมศวร์แสดงความมั่นใจอย่างเต็มที่แล้ว ทำให้อาตมามีกำลังใจมากขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้หากว่าการสู้คดีในครั้งนี้จะออกมาในรูปแบบใด อาตมาก็พร้อมรับ และขอให้ญาติโยมยอมรับคำตัดสินเรื่องนี้ด้วย อย่าไปซ้ำเติมกัน ถ้าฝ่ายเราชนะได้เงินคืน หรือเราแพ้ไม่ได้เงิน ก็อย่าไปโกรธกัน เพื่อใจจะได้ไม่เป็นทุกข์
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นข่าวทีวีได้มีการออกข่าวกันอย่างกระหน่ำ ช่วงที่อาตมาไปบิณฑบาต ยืนอยู่หน้าบ้านโยมเห็นจอทีวีมีภาพเราอยู่ในเหตุการณ์ ในข่าว โยมเลยใส่บาตรกันเป็นพิเศษ เรียกว่า ใส่บาตรโหนกระแสก็ว่าได้ เรียกว่า ใส่บาตรมากถึง 2 เท่า 3 เท่า มากกว่าตอนที่ยังไม่มีโรคไวรัสโควิด-19 ระบาดเสียอีก ซึ่งช่วงไม่มีโรคเชื้อโควิด-19 ระบาด ญาติโยมยังใส่บาตรไม่ค่อยมากเท่ากับช่วงนี้ ก็ต้องถือว่า เป็นครั้งประวัติศาสตร์ของวัดสวนแก้ว ที่มีกองทัพสื่อมวลชนมาทำข่าวกันอย่างล้นหลามอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน
ถือเป็นครั้งแรกที่มีข่าวแบบนี้มากมาย อาตมาก็ต้องบอกว่า เยอะจริงๆ แต่ทีนี้เนื้อหาในการเล่าเรื่อง นักข่าวก็มีถามว่า แล้วจะได้เมื่อไร อาจารย์ปรเมศวร์ ก็นัดว่า วันจันทร์ที่ 22 มิ.ย.นี้ จะไปออกรายการของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสอีกครั้งหนึ่ง วันนั้นหรืออย่างช้า อาตมาคิดว่า ภายในสิ้นเดือนมิ.ย.นี้ ก็น่าจะรู้ออกหัว ออกก้อย ได้หรือเสีย บวกหรือลบ คงน่าจะรู้ได้ภายในเร็วๆนี้ ไม่อย่างนั้นก็คงจะยืดเยื้อยาวนาน อาตมาก็หวังว่า สักวันหนึ่งเรื่องก็คงจะต้องจบ มันคงจะยืดเยื้อไปมากก็คงลำบาก และที่แปลกเหนือกว่านั้น วันที่มีการแถลงข่าวที่วัดสวนแก้ว ก็มีเจ้าหน้าที่ของศาลนนทบุรี จำนวน 3-4 ท่าน ก็มาที่วัดด้วย
ต้องเรียกว่า เหมือนจะให้มาช่วยตรวจสอบดูว่า จะช่วยเหลือวัดได้อย่างไร อันนี้เป็นสิ่งเป็นที่เขยิบความหวัง กระชับความได้เสียใกล้เข้ามาๆ คงเหลือแต่วันเวลาที่จะจบลงแบบได้หรือเสีย บวกหรือลบ ตอนนี้ ถ้าถามความรู้สึกอาตมาว่า คงจะได้แค่ 50-50 ส่วนจะได้แน่นอนแค่ไหนก็ต้องติดตามดูต่อไป อยากจะรู้กันสักทีว่า เรื่องความเป็นธรรมกับเรื่องกฎแห่งกรรม เพราะว่า เราสู้กับกฎหมาย กับศาล ซึ่งศาลนั้นมีทั้งกฎหมาย ทั้งอำนาจ ส่วนเราคงจะมีอย่างเดียว คือ ต้องทำตามศาล ทำตามกฎหมาย แล้วไม่มีคำว่า เราจะมีอำนาจตามกฎหมายเหมือนศาลไม่ได้ เราจะเหลืออย่างเดียว คือ ต้องทำตามกฎหมาย ก็แล้วแต่เวร แต่กรรม คนเราก็เหลืออยู่แค่ว่า เชื่อกรรม เชื่อความเพียร ถ้ามีความเพียรพยายามจะทำให้เรื่องนี้มันสำเร็จลงด้วยดีก็น่าจะมีระดับอัยการสูงสุดที่จะส่งคนทำงานให้กระชับลงมาก็น่าจะเห็นสิ่งนั้นแหละ
เจริญพร
You must be logged in to post a comment Login