- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
กำแพงสินสอด
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 3-10 ก.ค. 2563)
ศาสนาถูกส่งมาเพื่อทำให้มนุษย์มีวิถีการดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ สะดวกง่ายดายและมีเกียรติ เพราะศาสนามาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า “ธรรมชาติ” ดังนั้น ศาสนาของพระเจ้าจึงไม่ขัดกับธรรมชาติ
ธรรมชาติอย่างหนึ่งของสิ่งมีชีวิตคือการแพร่ขยายพันธุ์ แต่มนุษย์ไม่ใช่สัตว์ ศาสนาจึงกำหนดพิธีการแต่งงานให้มนุษย์เพื่อแยกมนุษย์ออกจากสัตว์ ไม่เพียงเท่านั้น การแต่งงานยังช่วยยกระดับทางศีลธรรมของมนุษย์ด้วย เพราะมันช่วยให้มนุษย์มีเกราะป้องกันความชั่วที่ทุกศาสนาถือว่าเป็นบาปใหญ่ นั่นคือการผิดประเวณี
ดังนั้น เพื่อให้การแต่งงานเป็นไปโดยง่ายและเป็นการป้องกันการผิดประเวณี ศาสนาจึงส่งเสริมให้ชายหนุ่มและหญิงสาวแต่งงาน และพิธีการแต่งงานทางศาสนามีความเรียบง่าย แต่เมื่อมนุษย์เริ่มทำตามความต้องการของตัวเองที่เกินไปกว่าสิ่งที่ศาสนาต้องการ ปัญหาและความยุ่งยากลำบากจึงตามมา
ก่อนการแต่งงานทุกสังคมมีธรรมเนียมในการสู่ขอผู้หญิงเพื่อให้ความเคารพบุพการีของผู้หญิง ธรรมชาติของมนุษย์จึงไม่ยอมรับการหนีตามผู้ชายหรือการฉุดกระชากพรากลูกสาวของคนอื่น ผลที่ตามมาก็คือการแก้แค้นหรือการตัดความสัมพันธ์ ซึ่งไม่ว่าจะในกรณีใดล้วนไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายหญิงทั้งสิ้น
ก่อนการมาของอิสลาม มุฮัมมัดเป็นเด็กหนุ่มที่ชาวมักก๊ะฮฺให้ฉายาว่า “อัลอะมีน” ซึ่งหมายถึงความซื่อสัตย์และไว้วางใจได้ บุคลิกประจำตัวนี้เองที่ทำให้นางเคาะดีญะฮฺ เศรษฐีนีม่าย ชักชวนมาเป็นหุ้นส่วนทำธุรกิจ โดยการให้เขานำสินค้าไปขายที่ซีเรียและแบ่งกำไรกัน มุฮัมมัดสามารถสร้างกำไรให้แก่ธุรกิจของนางเคาะดีญะฮฺได้อย่างมากมายจนนางเกิดความประทับใจและอยากได้เขาเป็นหุ้นส่วนชีวิตด้วย
นางเคาะดีญะฮฺส่งคนแอบไปทาบทามขอแต่งงานกับมุฮัมมัดแบบเงียบๆ ในตอนนั้นมุฮัมมัดมีอายุ 25 ปี ในขณะที่นางเคาะดีญะฮฺอายุ 40 ปี มุฮัมมัดจึงปรึกษาลุง และเมื่อลุงเห็นด้วย ทางฝ่ายชายจึงไปสู่ขอฝ่ายหญิง ในการแต่งงานครั้งนั้นมุฮัมมัดได้มอบของขวัญแต่งงาน (ซึ่งเรียกว่า “มะฮัรฺ”) ให้แก่เจ้าสาวของเขาเป็นเหรียญเงิน 500 ดิรฺฮัม ตามธรรมเนียมของชาวอาหรับ
หลังจากมุฮัมมัดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบีทำหน้าที่เผยแผ่อิสลามเมื่ออายุ 40 ปี และต้องอพยพออกจากเมืองมักก๊ะฮฺแผ่นดินบ้านเกิดไปยังเมืองมะดีนะฮฺพร้อมกับผู้ศรัทธา ไม่ว่าที่นั่นหรือที่ไหน การสร้างสังคมต้องเริ่มจากการสร้างครอบครัว สาวกของท่านทั้งชายและหญิงต้องแต่งงานทั้งๆที่อยู่ในสภาพยากจน แต่ถ้าจะรอสะสมเงินเพื่อสู่ขอผู้หญิง กว่าจะแต่งงานได้ก็คงหมดแรงทำหน้าที่สามีที่ดีแล้ว
ด้วยเหตุนี้นบีมุฮัมมัดจึงเอื้ออำนวยให้การแต่งงานเป็นไปอย่างสะดวกง่ายดายและมีเกียรติโดยไม่ละทิ้งสิทธิ์และความเต็มใจของผู้หญิง ท่านได้สั่งให้สาวกของท่านที่ต้องการแต่งงานไปจัดหาของขวัญแต่งงานให้ผู้หญิงแม้จะเป็นแหวนเหล็กสักวงหนึ่งก็ยังดี เมื่อหามาได้ท่านจึงทำพิธีแต่งงาน (นิก๊ะฮฺ) ให้
สาวกบางคนไม่มีทรัพย์สินใดๆติดตัวเลย ท่านจึงถามสาวกว่าสามารถท่องจำกุรอานได้หรือไม่ เมื่อสาวกตอบว่าได้ ท่านจึงถามผู้หญิงว่าจะรับการท่องจำกุรอานเป็นมะฮัรฺและรับคนที่ท่องจำกุรอานได้แต่ไม่มีทรัพย์สินใดๆเป็นสามีหรือไม่ เมื่อผู้หญิงตอบรับด้วยความเต็มใจ ท่านก็ทำพิธีแต่งงานทางศาสนาให้
บางคนกลัวว่าการแต่งงานจะเป็นภาระเรื่องการเลี้ยงดูลูกที่จะตามมา พระเจ้าจึงให้หลักประกันว่าถ้าชายและหญิงแต่งงานกันและใช้ชีวิตด้วยความเกรงกลัวพระเจ้าโดยไม่ทำบาป พระเจ้าจะเพิ่มพูนปัจจัยยังชีพให้อย่างเพียงพอ
การแต่งงานตามคำสอนของศาสนาจึงเป็นเรื่องง่าย แต่เพราะความเจริญมั่งคั่งที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันในประเทศอาหรับ พ่อแม่ของผู้หญิงหรือแม้แต่บางครั้งผู้หญิงเองเรียกร้องของขวัญแต่งงานจากฝ่ายชายสูงจนทำให้เป็นอุปสรรคต่อการแต่งงาน ผู้ชายจึงต้องหาทางออกมาแต่งงานกับผู้หญิงในประเทศอื่นจนหญิงสาวชาวอาหรับมากมายต้องกลายเป็นโสด บางประเทศถึงกับตั้งกองทุนให้ชายหนุ่มในประเทศยืมเงินไปใช้ในการแต่งงานเพื่อให้ชายหนุ่มได้แต่งงานกับหญิงสาวในประเทศของตนเอง
นบีมุฮัมมัดส่งเสริมให้มีการเลี้ยงฉลองการแต่งงาน (วะลีมะฮ์) เพราะการแต่งงานเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทุกคนควรมีส่วนร่วม แต่ควรเป็นไปแบบเรียบง่ายไม่เป็นภาระ แม้จะมีฐานะทางเศรษฐกิจดี แต่นบีมุฮัมมัดก็ถือว่าการเลี้ยงฉลองเกิน 2 วัน เป็นความฟุ่มเฟือย
You must be logged in to post a comment Login