- อย่าไปอินPosted 2 days ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
“ครูเบล” อดีตเด็กทุน 10 ประเทศไกด์ไอเดีย ติวสอบ AEIS ของรัฐบาลประเทศสิงคโปร์
เด็กไทยที่ต้องการเรียนโรงเรียนรัฐบาลที่ประเทศสิงค์โปร์ อันดับแรกต้องเข้าสนามสอบที่เรียกว่า Admissions Exercise for International Students (AEIS) ระบบการศึกษาของประเทศสิงค์โปร์ โดยรัฐบาลประเทศสิงค์โปร์ออกข้อสอบเท่านั้น ทำให้ผลคะแนนการสอบ AEIS จึงเป็นเรื่องหลักสำหรับน้อง ๆ ที่อยากไปเรียนที่ประเทศสิงค์โปร์จะต้องเตรียมพร้อมทางด้านวิชาการไม่น้อยกว่า 1 ปี เพื่อให้รู้แนวข้อสอบและวิธีการตอบคำถาม ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมากกับระบบการศึกษาของประเทศไทย
คุณศุภนุช ชือรัตนกุล (ครูเบล) อดีตเด็กทุน 10 ประเทศ มีประสบการณ์การเรียนในประเทศสิงคโปร์กว่า 7 ปี และเป็นครูติวสอบเข้า AEIS ที่ 1 ของการเรียนประเทศสิงคโปร์ เปิดเผยว่า การที่เด็กไทยไปเรียนที่ประเทศสิงคโปร์ได้ยากนั้นเป็นเพราะจำนวนที่นั่งที่ให้กับเด็กต่างชาตินั้นมีน้อย และประเทศสิงคโปร์จะเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ จากทั่วโลกมารวมกันแล้วสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกนักเรียนที่ติดอันดับ Top 10 จึงจะมีสิทธิ์ได้เข้าเรียน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การเข้าเรียนที่ประเทศสิงคโปร์นั้นมีความยากขึ้นไปอีก แต่ทั้งนี้ก็ยังมีเด็กไทยที่อยากไปเรียนที่ประเทศสิงคโปร์ เพราะ 1.มีระบบการศึกษาที่ดี 2.ไม่เน้นการท่องจำ แต่เน้นที่ความเข้าใจ และเน้นการใช้แอปพลิเคชั่นในการสอนเพื่อให้เด็กเข้าใจและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบการเรียนที่ประเทศสิงคโปร์กับประเทศอื่น ๆ แล้ว จะพบว่าประเทศสิงคโปร์มีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากนัก มีความปลอดภัย ไม่ห่างไกลประเทศไทยมาก ผู้ปกครองจึงนิยมส่งบุตรหลานไปเรียนที่ประเทศสิงคโปร์ ตั้งแต่ช่วงอายุ 8 ขวบ และมากสุดคืออายุ 14 ปี
ทั้งนี้จุดอ่อนของเด็กไทย คือ เรื่องภาษาอังกฤษ เนื่องจากการสอนภาษาอังกฤษในไทยนั้นถือว่ามีจำนวนชั่วโมงเรียนมาก แต่ไม่ค่อยได้ใช้และไม่กล้าใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน จึงทำให้เด็กลืมง่ายและอีก 1 ปัญหาของเด็กไทย คือ การแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่เป็นภาษาอังกฤษยังทำได้ไม่ดี อาจเป็นเพราะเด็กไทยไม่เคยได้เรียนแนว Modeling หรือการวาดรูปออกมาเพื่อแก้โจทย์ กล่าวคือหากอ่านภาษาอังกฤษไม่ได้ก็จะมีปัญหาในการแก้ไขโจทย์ข้อสอบแบบ Modeling ในวิชาคณิตศาสตร์ เช่นกัน
จากประสบการณ์การศึกษาในประเทศสิงคโปร์ของเบลได้เริ่มเรียนที่นั่นตั้งแต่อายุ 11 – 17 ปี คือแรกเริ่มเข้าตั้งแต่ ป.4 และจบ sec 4 (O-Level) โดยในระดับการศึกษา Sec 1 -3 มีผลการเรียนเป็นอันดับ 1 ของชั้นติดต่อกัน 3 ปีซ้อน อยู่ประเทศสิงคโปร์ 7 ปี และได้กลับมาศึกษาต่อในระดับปริญาตรี Mahidol University International College (MUIC) สาขาวิชาชีววิทยา ที่ประเทศไทย โดยมีผลการเรียนเกียรตินิยมอันดับ 1 ส่วนหนึ่งเพราะมีพื้นฐานการศึกษาจากประเทศสิงคโปร์ด้วย และนอกจากการเรียนแล้วเบลยังได้ให้ความสำคัญกับงานกิจกรรมซึ่งมีความสนใจด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จึงได้สมัครและรับทุนแลกเปลี่ยนในต่างประเทศถึง 10 ประเทศ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ สิงค์โปร์ มาเลเซีย อินโดนิเซีย ตุรกี กัมพูชา เวียดนาม และ ไทย
นอกจากนี้ยังได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปพูดเกี่ยวกับกฎหมายสิ่งแวดล้อมใน 4 รอบ ด้วยกัน ทั้งที่งานประชุม Japan ASEAN Youth ที่โตเกียว เซนได นาโกย่า และที่ฮอคไกโด ประเทศญี่ปุ่น และยังได้ไปพูดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม Ministry of Environment ที่ประเทศสิงคโปร์ด้วย ทั้งยังเป็นเป็นตัวแทนประเทศไทยพาเด็ก 5 คนไปประเทศตุรกีในงาน 350 Global Power Shift ที่เมืองอิสตันบูล และยังได้ทุนจากธนาคารโลก (World Bank) ไปทำวิจัยที่กัมพูชา เกี่ยวกับ Research on watershed funded by World Bank ที่เมือง Koh Kong อีกด้วย
“ความที่เบลรอบรู้เกี่ยวกับการศึกษาของประเทศสิงคโปร์ เบลก็จะช่วยสนับสนุนหาข้อมูล เป็นที่ปรึกษาให้กับผู้ปกครอง คอยพูดคุยให้กำลังใจเด็กจนกว่าจะเรียนจบ สำหรับเด็กไทยที่ต้องการไปเรียนที่ประเทศสิงคโปร์จะต้องมีการเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ ในเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี เพื่อปูทักษะทั้งด้านการเขียน การอ่าน กลุ่มคำศัพท์ เรียนรู้ข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ที่เป็นแบบ Modeling ทั้งนี้เด็ก ๆ จะต้องมีวินัย ขยัน มีเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่งถือเป็นพื้นฐานของความสำเร็จ” ครูเบล กล่าวทิ้งท้าย
You must be logged in to post a comment Login