วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

บทเรียนจากกาลเวลา

On August 14, 2020

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 14-21 ส.ค. 2563)

สัจธรรมอย่างหนึ่งในคำสอนของศาสนาคือ ทุกสิ่งที่ถูกสร้างมาล้วนมีวันสิ้นสุด แต่การสิ้นสุดของทุกสิ่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตนั้นใช้เวลาแตกต่างกันไป

ตลอดระยะเวลาที่มนุษย์ถูกส่งมายังโลกนี้ พระเจ้าได้คัดเลือกตัวแทนหรือศาสนทูต (หรือนบี) ของพระองค์ในหมู่มนุษย์ด้วยกันมาเตือนมนุษย์เรื่องวันสิ้นโลก วันที่ทุกชีวิตจะจบสิ้น และหลังจากนั้นจะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพใหม่เพื่อรอรับการตัดสินตอบแทนจากพระเจ้าในสิ่งที่ตัวเองได้ทำไว้ขณะมีชีวิตอยู่ในโลก

สาเหตุหนึ่งที่มนุษย์ทำบาปเพราะมนุษย์คิดว่าตัวเองยังมีชีวิตอีกยาวนานและคิดจะเลิกทำบาปเมื่อตอนแก่ โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีโอกาสได้แก่ดังที่คิดไว้หรือไม่ หรือเพราะมนุษย์คิดว่าการตายของตัวเองเหมือนกับการตายของสัตว์ที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองในโลกหลังความตาย

แต่วันสิ้นโลกจะเกิดขึ้นเมื่อใดไม่มีใครรู้แม้แต่นบี เพราะคำเตือนนี้มีเจตนาให้มนุษย์ใช้ชีวิตอย่างมีศีลธรรมและไม่ทำบาป เนื่องจากนบีไม่รู้ว่าโลกจะอวสานเมื่อใด นบีทุกคนที่เตือนมนุษย์ให้คำนึงถึงเรื่องนี้จึงถูกท้าทายด้วยคำพูดในทำนองว่า “เราไม่เชื่อพระเจ้า และเราทำชั่วกันมานานไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น ถ้าการลงโทษของพระเจ้ามีจริง ทำไมพระเจ้าไม่ลงโทษเราทันทีที่เราทำชั่ว?”

คนเหล่านี้ทำชั่วกันจนไม่คิดว่าเหตุผลที่พระเจ้ายังไม่ลงโทษคนทำบาปทันทีก็เพราะพระเจ้ารู้ว่ามนุษย์อ่อนแอ แต่พระองค์เป็นผู้ทรงกรุณาปรานี ดังนั้น พระเจ้าจึงให้โอกาสมนุษย์สำนึกผิดและขออภัยโทษต่อพระองค์ และปรับปรุงแก้ไขตัวเองในโลกนี้เสียก่อนที่จะกลับไปหาพระองค์ในโลกหน้า ถ้าพระเจ้าจะทำโทษมนุษย์ทันทีที่มนุษย์ทำผิด โลกนี้คงไม่มีมนุษย์หลงเหลืออยู่แล้ว

Mada

ในคัมภีร์กุรอานมีข้อความตอนหนึ่งซึ่งพระเจ้าได้กล่าวกับนบีมุฮัมมัดว่า “คนเหล่านี้กำลังรบเร้าเจ้าให้เร่งนำการลงโทษมา พระเจ้าจะไม่มีวันผิดสัญญาของพระองค์อย่างแน่นอน แต่วันหนึ่งที่พระเจ้าของเจ้านั้นเท่ากับพันปีตามที่สูเจ้านับ” (กุรอาน 22:47)

ข้อความตรงนี้บอกว่าการลงโทษของพระเจ้าสำหรับคนทำชั่วหรือทำบาปนั้นมีแน่ เพราะพระเจ้าเป็นผู้ทรงสัจจะและรักษาสัญญา แต่ที่ยังไม่ลงโทษมนุษย์ในตอนนั้นเพราะยังไม่ใช่วันเวลาของพระเจ้า เนื่องจากวันเวลาของพระเจ้าต่างจากวันที่มนุษย์นับกันบนโลกใบนี้ วันหนึ่งของพระเจ้าเท่ากับพันปี

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมในคัมภีร์กุรอานจึงมีเรื่องราวของกลุ่มชนต่างๆในอดีตที่ถูกพระเจ้าลงโทษด้วยการทำลาย เพราะกลุ่มชนเหล่านี้ปฏิเสธคำสอนของพระเจ้าที่นบีนำมา

คัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานมีเรื่องราวของโนอาห์ที่ผู้คนไม่เชื่อฟังคำตักเตือนของเขา คัมภีร์กุรอานกล่าวว่า โนอาห์ใช้เวลา 950 ปีในการตักเตือนผู้คน เมื่อผู้คนไม่รับฟังและยังต่อต้านจนโนอาห์อิดหนาระอาใจ โนอาห์จึงวิงวอนต่อพระเจ้าให้ลงโทษชุมชนที่ไม่เชื่อฟังพระองค์ พระเจ้าตอบรับคำวิงวอนของโนอาห์ด้วยการให้ผู้คนในชุมชนที่ฝ่าฝืนพระเจ้าจมน้ำตายในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ในขณะที่ผู้เชื่อฟังโนอาห์ในเรือของเขามีชีวิตรอดปลอดภัย

ถ้ามนุษย์เรามีอายุเฉลี่ยคนละ 95 ปี นั่นหมายความว่าโนอาห์ใช้เวลาตักเตือนผู้คนในชุมชนของเขาถึง 10 ชั่วรุ่น พระเจ้าให้เวลาแก่โนอาห์เป็นพิเศษเพื่อบอกให้มนุษย์ได้รู้ว่าพระองค์เป็นเจ้าของชีวิตและกาลเวลา

หลังจากสมัยของโนอาห์มีอีกหลายชุมชนที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้และมีความเจริญมั่งคั่งเข้มแข็ง แต่ชุมชนเหล่านี้ได้ใช้อำนาจและความเข้มแข็งของตนกดขี่ข่มเหงคนอื่นหรือไม่ก็ละเมิดขอบเขตศีลธรรมทุกอย่าง พระเจ้าจึงส่งทูตของท่านมาตักเตือน แต่เมื่อผู้คนไม่เชื่อฟังและยังทำร้ายทูตของพระองค์ พระเจ้าจึงต้องลงโทษชุมชนเหล่านั้น

คัมภีร์กุรอานได้บอกเล่าเรื่องราวของเมืองโซดอมที่ถูกลงโทษด้วยการพลิกแผ่นดินเหมือนถ้วยชามถูกคว่ำ ชนเผ่าอ๊าดที่เข้มแข็งถูกพายุทรายพัดกระหน่ำไม่หยุดทั้งวันทั้งคืนตลอดสัปดาห์จนผู้คนล้มตายไม่เหลือซาก ชาวษะมูดในทะเลทรายอาหรับที่ขุดภูเขาเป็นที่อาศัยนอนคว่ำหน้าตายเพราะเสียงกัมปนาทกึกก้องจากแผ่นดินไหวเหมือนแพะที่ตกใจตายหมู่เพราะได้ยินเสียงฟ้าร้อง ฟาโรห์ที่เกรียงไกรต้องจมน้ำตายอย่างอัปยศ

การลงโทษกลุ่มชนดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาและสถานที่ที่ต่างกัน แต่มาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน แต่ความแตกต่างระหว่างนบีคนก่อนๆของพระเจ้ากับนบีมุฮัมมัดคือ นบีคนก่อนๆถูกส่งมายังกลุ่มชนหนึ่งเป็นการเฉพาะ การลงโทษจากพระเจ้าจึงจำกัดบริเวณอยู่ในกลุ่มชนนั้น แต่นบีมุฮัมมัดถูกส่งมาเพื่อมนุษย์ทั้งหมด ดังนั้น การลงโทษของพระเจ้าจึงต้องมีขึ้นกับมนุษย์ทั้งโลกทั้งหมด


You must be logged in to post a comment Login