- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
เมื่อแนวคิดทันสมัยท้าทายศาสนา
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 2 -9 ต.ค. 2563)
หลังจากคริสตจักรที่เดิมเป็นหนึ่งเดียวแตกออกเป็นคริสตจักรคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ ชาติยุโรปที่อยู่ในคริสตจักรโปรเตสแตนต์มีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อย่างรวดเร็วจนเกิดยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการขึ้นในเวลาต่อมา
การค้นพบและการพิสูจน์ความจริงทางวิทยาศาสตร์ทำให้คนรุ่นใหม่ในคริสตจักรโปรเตสแตนต์มีความเชื่อมั่นในความจริงทางวิทยาศาสตร์ไม่ต่างจากศาสนิกเชื่อมั่นศรัทธาในศาสนาของตน ปัญญาชนคนรุ่นใหม่เริ่มมองคำสอนศาสนาว่าเป็นสิ่งล้าสมัยและวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งทันสมัย ในช่วงเวลานี้เองที่คนรุ่นใหม่ได้เริ่มละทิ้งศาสนาและประเพณีปฏิบัติที่คนรุ่นก่อนสืบทอดกันมา ไม่นานนักความคิดและพฤติกรรมของปัญญาชนรุ่นใหม่ได้กลายเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า “แนวคิดทันสมัย” (Modernism)
เมื่อมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ชาติยุโรปมีการผลิตขนาดใหญ่ที่ต้องการขยายตลาด ธุรกิจจึงต้องการเงินทุนขนาดใหญ่ และการจะได้เงินทุนก้อนใหญ่มาก็คือการกู้ที่ต้องเสียดอกเบี้ย แต่ดอกเบี้ยเป็นสิ่งต้องห้ามตามคัมภีร์ไบเบิล พวกพ่อค้าจึงเรียกร้องให้มีการแก้ไขคำสั่งห้ามดอกเบี้ย แต่โป๊ปไม่ยอม ดอกเบี้ยซึ่งในคัมภีร์ไบเบิลใช้คำว่า Usury จึงถูกนายทุนและนักธุรกิจเรียกเสียใหม่ว่า Interest
ความแตกต่างของคำ 2 คำนี้คือ Usury เป็นดอกเบี้ยอัตราสูงที่เรียกเก็บจากคนยากจนที่ไม่มีหลักประกันว่าจะใช้คืนได้ ถือเป็นการขูดรีด ส่วน Interest เป็นดอกเบี้ยอัตราต่ำที่เรียกเก็บจากพ่อค้าและนักธุรกิจที่มีความสามารถชำระคืนและมีหลักประกัน
อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ผู้เขียนเคยเห็นที่ประตูธนาคารในประเทศสเปนซึ่งเป็นประเทศคาทอลิกเรียกอัตราดอกเบี้ยว่า “Sin Income” (รายได้ที่เป็นบาป)
การปฏิวัติอุตสาหกรรมไม่เพียงแต่ทำให้ชาติยุโรปต้องการทรัพยากรเพื่อการผลิตเท่านั้น แต่ยังต้องการตลาดด้วย นี่คือสิ่งที่ทำให้ชาติยุโรปต้องแสวงหาอาณานิคมเพื่อตอบสนองความเจริญก้าวหน้าและความทันสมัยของตน
ชาติยุโรปในคริสตจักรทั้งสองต่างออกล่าอาณานิคมไปทั่วโลก ไม่เพียงแต่เพื่อหาแหล่งทรัพยากรและแรงงานในดินแดนของชาติอื่นและทำให้ชาติอื่นๆเป็นตลาดระบายสินค้าของตนเท่านั้น แต่ยังทำการเผยแผ่ศาสนาคริสต์แก่ผู้คนในชาติอาณานิคมของตนด้วย
ความเจริญมั่งคั่งจากอุตสาหกรรมและการค้าผนวกกับแนวคิดทันสมัยทำให้วิถีของชาวยุโรปเปลี่ยนไปจากเดิมเป็นอย่างมาก ชาวยุโรปรุ่นใหม่ใช้ชีวิตโดยไม่คำนึงถึงขอบเขตทางศาสนา การแต่งกายแบบรักนวลสงวนตัวตามประเพณีที่ปฏิบัติกันมาในอดีตค่อยๆถูกเปลี่ยนไปโดยใช้กิจกรรมแฟชั่น การประกวดนางงาม และกิจกรรมอื่นๆทำนองนี้ โดยอาศัยคำว่า “เสรีภาพ” “ความทันสมัย” เป็นข้ออ้างสนับสนุน
เมื่อพฤติกรรมการบริโภคและวิถีชีวิตของคนในยุโรปเปลี่ยนไป การผลิตจำเป็นต้องตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้น ชาติยุโรปจึงต้องทำให้พฤติกรรมของคนในชาติอาณานิคมของตนเองเปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยการจัดการศึกษาแบบใหม่ในชาติอาณานิคมและให้ทุนการศึกษาแก่ปัญญาชนไปเรียนต่อในประเทศของตน หลังจากนั้นก็สนับสนุนคนที่ได้รับการศึกษาจากตะวันตกให้กลับมาปกครองคนในชาติของตนเองตามแนวคิดของตะวันตก
อย่างไรก็ตาม ชาวตะวันตกยังคงมีปมเขื่องว่าคนผิวขาวมีความเหนือกว่าคนผิวสี แม้คนผิวสีจะมีการศึกษาดีและนับถือศาสนาเหมือนกับชาวผิวขาว แต่การเหยียดผิวชังพันธุ์ยังคงมีอยู่ เมื่อได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ความไม่พอใจของคนผิวสีก็ทวีรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นการต่อต้านชาวตะวันตก
มหาตมะ คานธี เป็นตัวอย่างที่โลกรู้จักดี แม้จะมีการศึกษาสูงจนเป็นนักกฎหมายที่จบจากตะวันตก แต่งกายแบบตะวันตก พูดภาษาอังกฤษ แต่มหาตมะ คานธี ก็ยังถูกเหยียดหยามโดยคนผิวขาว ในที่สุดมหาตมะ คานธี ได้ใช้วิธีการต่อสู้แบบอหิงสาโดยถอดเครื่องแต่งกายแบบผู้ดีอังกฤษทิ้งและหันมาทอผ้าฝ้ายทำเครื่องแต่งกายตามประเพณีแบบอินเดียสวมใส่
การต่อสู้ของมหาตมะ คานธี ได้รับการสนับสนุนจากชาวอินเดียทั่วประเทศ ส่งผลให้โรงงานทอผ้าขนสัตว์ในประเทศอังกฤษได้รับผลกระทบอย่างแรง ในที่สุด มหาตมะ คานธี ต้องจบชีวิตลงด้วยการถูกลอบสังหาร
You must be logged in to post a comment Login