- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
การเผชิญหน้ากันระหว่างวิทยาศาสตร์กับศาสนา
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 6-13 พ.ย. 63)
ลัทธิโลกนิยม (Secularism) เป็นลัทธิที่เกิดขึ้นหลังจากนักวิทยาศาสตร์ในยุโรปมีความขัดแย้งกับคริสตจักร เนื่องจากการค้นพบความจริงของนักวิทยาศาสตร์ขัดแย้งกับความเชื่อของบาทหลวงที่สืบทอดกันมานาน ความขัดแย้งนี้ส่งผลให้คริสตจักรที่เคยเป็นหนึ่งเดียวแตกออกเป็นคริสตจักรคาทอลิกและคริสตจักรโปรเตสแตนต์
ความแตกแยกนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ในยุโรปมองว่าศาสนาเป็นสิ่งล้าสมัย นักบวชในคริสตจักรไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับการค้นพบใหม่ๆทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังหาทางกำจัดนักวิทยาศาสตร์ที่มีความขัดแย้งกับตนด้วย ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงเห็นว่าถ้าเป็นเช่นนี้ นักบวชก็ควรทำหน้าที่ทางศาสนาของตัวเองในโบสถ์เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆในชีวิต เช่น เรื่องเศรษฐกิจและสังคม เรื่องวิทยาศาสตร์ คริสตจักรซึ่งหมายถึงบาทหลวงและคำสอนทางศาสนาไม่ต้องเข้ามามีบทบาท
หลังจากนั้นประเทศยุโรปในซีกของโปรเตสแตนต์ได้เริ่มมีความเจริญก้าวหน้าจากการค้นพบใหม่ๆทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ความจริงได้ ความสำเร็จเหล่านี้เองที่ทำให้ผู้คนเริ่มชื่นชมและสนใจในความสำเร็จของมนุษย์ด้วยกันจนเกิดลัทธิมนุษย์นิยม (humanism) ขึ้นมา ลัทธินี้มีความเชื่อว่าสมองของมนุษย์ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สังคมมนุษย์มีความเป็นอยู่ที่ดีโดยไม่ต้องมีศาสนา
ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เกิดความขัดแย้งกับบาทหลวง เพราะบาทหลวงเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะและสอนผู้คนมาตลอด แต่นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่เชื่อว่าดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ เนื่องจากบาทหลวงเป็นตัวแทนของศาสนา ผู้คนจึงคิดว่าคำสอนของบาทหลวงเป็นความจริง ทั้งๆที่เรื่องนี้ไม่มีอยู่ในพระคัมภีร์ ส่วนนักวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ก็มีความเชื่อในสิ่งที่ตัวเองค้นพบเหมือนกับเป็นความเชื่อทางศาสนา
แต่เนื่องจากศาสนาเป็นคำสอนที่มีอยู่ก่อน และคำสอนทางศาสนาสอนว่าพระเจ้าทรงสร้างจักรวาล สร้างโลก และสร้างมนุษย์ ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อชาร์ลส ดาร์วิน สนใจค้นหาที่มาของมนุษย์ หลังจากออกเดินทางไกลและใช้เวลายาวนานเพื่อค้นหาต้นตอที่มาของมนุษย์ เขาได้กลับมาเขียนหนังสือเรื่อง Origin of Species (ที่มาของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิต) อธิบายว่าสิ่งมีชีวิตรวมทั้งมนุษย์เกิดขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่ค่อยๆวิวัฒนาการและปรับรูปร่างไปตามสภาพแวดล้อม
หลังจากนั้นก็มีนักวิทยาศาสตร์ออกมาอธิบายว่าต้นกำเนิดที่มาของสิ่งมีชีวิตคือโปรโตพลาสซั่มที่เมื่อได้รับสภาพแวดล้อมอันเหมาะสมจึงขยายตัวเป็นอวัยวะส่วนต่างๆของรูปร่าง ความคิดของเขาได้ถูกนำมาสอดใส่ในตำราเรียนในสถาบันการศึกษาทั่วโลกทั้งในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ในขณะที่วิชาศีลธรรมถูกถอนออกไปจากโรงเรียน
ก่อนหน้านี้คำสอนของบาทหลวงในคริสตจักรเคยถูกนักวิทยาศาสตร์ท้าทาย แต่เมื่อนักวิทยาศาสตร์นำเสนอทฤษฎีต้นกำเนิดของมนุษย์ นักการศาสนาทั่วโลกทั้งในคริสตจักรและโลกอิสลามได้ออกมาคัดค้านและท้าให้นักวิทยาศาสตร์นำหลักฐานมาพิสูจน์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้จนกระทั่งปัจจุบัน
วันนี้ความเชื่อเรื่องดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริงในทางวิทยาศาสตร์ แต่ความเชื่อว่ามนุษย์มีต้นกำเนิดมาจากโปรโตพลาสซั่มยังเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้
ในมุมมองของศาสนาที่เชื่อในพระเจ้า ทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ของชาร์ลส ดาร์วิน ถือเป็นการตัดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และถ้ามนุษย์เชื่อว่าตัวเองเกิดมาเพื่อกิน นอน ถ่าย และสืบพันธุ์เหมือนสัตว์ โดยไม่ต้องไปยืนต่อหน้าพระเจ้าเพื่อรอรับการตัดสินสิ่งที่ตัวเองได้ทำไว้ขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ กฎหมายที่มนุษย์ร่างขึ้นมาเพียงอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงคำสอนของศาสนาไม่อาจควบคุมมนุษย์ได้ และเมื่อนั้นสังคมมนุษย์จะเกิดความหายนะติดตามมา
You must be logged in to post a comment Login