- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ศาสนาเป็นเรื่องของมนุษย์
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 27 พ.ย. – 4 ธ.ค. 63)
ศาสนาเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่อยู่รอบตัวเขาทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ถ้ามนุษย์รู้จักและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า มนุษย์ก็จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสิ่งที่อยู่รอบตัวเขา
นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมพระเจ้าจึงต้องแนะนำพระองค์ให้มนุษย์ได้รู้จักว่าพระองค์เป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งและควบคุมทุกสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้นมา ส่วนมนุษย์เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาในฐานะบ่าวที่ต้องเคารพและเชื่อฟังพระเจ้าผู้เป็นนาย
เพื่อเป็นการเตือนมนุษย์ให้ไม่ลืมสถานะความเป็นบ่าว พระเจ้าจึงกำหนดให้มนุษย์ต้องปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อเป็นการแสดงความเคารพสักการะและแสดงออกถึงความเกรงกลัวพระองค์ เช่น การละหมาด หรือการสวดมนต์ การปฏิบัติศาสนกิจจึงเป็นการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า และทำให้มนุษย์ไม่ทำร้ายหรือทำลายสิ่งอื่นๆที่พระเจ้าสร้างมาเพื่อประโยชน์ของมนุษย์เอง
คัมภีร์กุรอานเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ดังนั้น คัมภีร์กุรอานจึงบอกให้รู้ว่ามนุษย์มีสถานะอะไรในโลกนี้ คัมภีร์กุรอานยังบอกมนุษย์ให้รู้ว่าเขาจำเป็นต้องพึ่งพาความเมตตาของพระองค์ และมีศาสนาของพระองค์เป็นทางนำในการดำเนินชีวิต เพราะเขากำเนิดมาในสภาพที่อ่อนแอและไม่รู้
เมื่อเปรียบเทียบชีวิตแรกคลอดของมนุษย์กับสัตว์ เราจะเห็นว่ามนุษย์อ่อนแอกว่าสัตว์ ลูกเก้ง ลูกกวาง หรือลูกม้า เมื่อคลอดออกมาจากท้องของแม่ได้ไม่ถึงชั่วโมง พอตัวแห้งมันก็สามารถยืนเองและเดินไปหาแม่ของมันได้ แต่ทารกมนุษย์กว่าจะยืนและเดินได้ต้องใช้เวลาประมาณ 1 ปี และถ้าถูกปล่อยทิ้งไว้หลังจากคลอดโดยไม่ได้รับการดูแล ทารกมนุษย์ก็ไม่อาจรอดชีวิต
การกำเนิดของมนุษย์จึงเป็นเหมือนสัญญาณเตือนมนุษย์ว่าอย่าโอหังเมื่อเติบใหญ่
แม้เมื่อโตขึ้นมนุษย์ก็จำเป็นต้องมีศาสนาเป็นทางนำในการควบคุมวิถีชีวิต ถ้ามนุษย์ไม่รู้ว่าอะไรเป็นที่ต้องห้ามและกินทุกอย่างโดยไม่มีขอบเขต มนุษย์ก็จะกินแม้กระทั่งหมาแมวและสิ่งอื่นๆที่คนเจริญแล้วไม่กินกัน ไม่เพียงแค่นั้น มนุษย์ยังสามารถกินเลยเถิดไปถึงกินบ้านกินเมืองได้โดยที่สัตว์ไม่อาจกิน
นอกจากจะพูดถึงสภาพทางกายภาพของมนุษย์แล้ว คัมภีร์กุรอานยังพูดถึงพฤติกรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ไว้ว่า “มนุษย์มักละเมิดขอบเขตเสมอเมื่อเขาเห็นว่าเขามั่งคั่ง”
มนุษย์ไม่เพียงแต่อ่อนแอทางกายภาพเท่านั้น แต่จิตใจของมนุษย์ยังอ่อนแอและถูกเย้ายวนให้มีแนวโน้มไปในทางต่ำ มนุษย์บางคนมีใจอยากทำชั่ว แต่ขาดทรัพย์ปัจจัยสนับสนุน จึงยังไม่สามารถทำความชั่วได้ แต่ถ้ามีทรัพย์ปัจจัยมาสนับสนุนจิตใจฝ่ายต่ำเมื่อใด มนุษย์ก็จะทำชั่วอย่างที่ใจอยากทำมาก่อน และสามารถทำชั่วได้อย่างกว้างขวาง
คำแปลภาษาไทยว่า “ละเมิด” นั้น ในภาษาอาหรับใช้คำที่สื่อให้เห็นถึงน้ำที่เอ่อท้นสองฝั่งตลิ่งของแม่น้ำ ตลิ่งสองข้างเปรียบเหมือนเขตกันน้ำ ส่วนน้ำเปรียบเหมือนความมั่งคั่ง เมื่อน้ำมีมากจนเอ่อท้นตลิ่ง น้ำก็จะไหลท่วมลามไปสร้างความเสียหายให้แก่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ
เมื่อการละเมิดเกิดมากขึ้นในสังคม ความหายนะก็จะตามมา คัมภีร์กุรอานได้อธิบายถึงความรุ่งเรืองและการล่มสลายของกลุ่มชนในอดีตว่าเป็นไปตามแบบแผนของพระเจ้า กล่าวคือ พระเจ้าจะให้มนุษย์ชนชาติหนึ่งมั่งคั่งรุ่งเรืองจนมนุษย์ในสังคมนั้นละเมิดขอบเขตทุกอย่าง หลังจากนั้นพระเจ้าจะส่งตัวแทนของพระองค์มาตักเตือนผู้คน และเมื่อมนุษย์ปฏิเสธคำตักเตือน พระเจ้าจะแสดงอำนาจของพระองค์ให้มนุษย์ได้เห็นในรูปของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันน่าสะพรึงกลัว หากมนุษย์ยังไม่สำนึกผิดและปรับปรุงตัวเอง ในที่สุดพระเจ้าจะลงโทษด้วยการทำลายชนชาตินั้น
เรื่องราวของมนุษย์ชนชาติต่างๆในอดีตที่ถูกทำลายไปตามคำบอกเล่าของคัมภีร์กุรอานก็เพื่อที่จะเตือนมนุษย์ให้รู้ถึงหายนะภัยที่จะเกิดขึ้นจากการที่มนุษย์ละเมิดขอบเขตทางศีลธรรม
You must be logged in to post a comment Login