วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

กฎหมายกับศาสนา

On December 4, 2020

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 4 – 11 ธ.ค. 63)

ด้วยความรู้ที่มีอยู่ในขณะนี้ เรารู้ว่าโลกของเราเป็นดาวดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในรูปของมนุษย์และสัตว์  ทั้งมนุษย์และสัตว์ต่างมีอวัยวะทั้งภายในและภายนอกคล้ายๆกัน แต่ถึงกระนั้น มนุษย์ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่สัตว์ไม่มี

สัตว์มีสมอง แต่ไม่มีสติปัญญา สติปัญญาจึงเป็นของขวัญชิ้นเลิศที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์เท่านั้น อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ก็คือเสรีภาพในการเลือกปฏิบัติ สัตว์ดำเนินชีวิตไปตามสัญชาติญาณที่ถูกพระเจ้ากำหนดไว้ มันจึงไม่มีเสรีภาพในการเลือกกินหรือเลือกทำตามใจเหมือนมนุษย์

เมื่อสัตว์ทำร้ายคน  สัตว์ไม่ต้องถูกนำตัวขึ้นศาลเพื่อรับโทษ เพราะมันคิดไม่เป็น ผิดกับมนุษย์ที่หากทำร้ายผู้ใดหรือทำลายทรัพย์สินของใครจะต้องได้รับการพิจารณาโทษทางกฎหมาย ยกเว้นผู้ที่ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นคนบ้าที่ไม่มีสติปัญญาคิดอะไร

สติปัญญาและเสรีภาพในการเลือกปฏิบัติจึงเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ

สติปัญญาทำให้มนุษย์มีความสามารถมากกว่าสัตว์ มนุษย์จึงสามารถทำอะไรได้มากกว่าสัตว์  สัตว์กินอิ่มแล้วจบ ไม่ไล่ล่าต่อ แต่มนุษย์ไม่ใช่เช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ สังคมมนุษย์จึงต้องมีกรอบกฎหมายเพื่อป้องกันมนุษย์ไม่ให้ใช้เสรีภาพเกินขอบเขตไปกระทบผู้อื่น

ก่อนที่โลกเราจะมีรัฐบาลหรือรัฐสภาทำหน้าที่ออกกฎหมาย ศาสนาเคยทำหน้าที่เป็นกฎหมายจัดระเบียบสังคมมนุษย์มาก่อน  แม้ในปัจจุบัน มนุษย์ได้เขียนกฎหมายขึ้นมาใช้เอง แต่ศาสนายังคงมีสิ่งที่กฎหมายสมัยใหม่ไม่มีและไม่ครอบคลุม นั่นคือ การควบคุมทางจิตวิญญาณและการบอกถึงวัตถุประสงค์ของชีวิต

law

วัตถุประสงค์สำคัญของกฎหมายคือการรักษาความยุติธรรม ความสงบและความปลอดภัยให้แก่ทุกคนในสังคม ดังนั้น ถ้าคนในสังคมต้องการจะได้รับความสงบและความปลอดภัย ทุกคนในสังคมต้องยอมเสียเสรีภาพบางส่วนไปเพื่อแลกมันมา รถยนต์ปัจจุบันสามารถทำความเร็วได้มากกว่า 200 ก.ม./ชั่วโมง ทุกคนมีเสรีภาพในการขับรถและอยากขับรถด้วยความเร็ว แต่การขับรถเร็วมีโอกาสเป็นอันตราย ทุกคนจึงยอมเสียเสรีภาพส่วนหนึ่งของตนไปเพราะความกลัวหรือเพราะกฎหมายกำหนดความเร็วเพื่อความปลอดภัยของทุกคน

ศาสนาก็เช่นกัน ในฐานะที่เป็นกฎกติกาและกรอบการใช้ชีวิตที่มาจากพระเจ้า  ศาสนาได้บอกมนุษย์ให้รู้ว่าโลกนี้คือห้องสอบที่จะพิสูจน์ว่าเขาจะเลือกความดีหรือความชั่ว และอะไรที่เป็นความดีหรือความชั่วได้ถูกเฉลยไว้ชัดเจนแล้ว  ขณะที่มีชีวิตในโลก เขามีสติปัญญาและเสรีภาพที่จะเลือกอะไรก็ได้ แต่เขาต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เขาเลือกทั้งในโลกนี้และโลกหลังความตาย

ด้วยเหตุนี้ ทุกศาสนาจึงมีการกำหนดว่าอะไรเป็นสิ่งต้องห้ามซึ่งมีเพียงไม่กี่อย่างเป็นกรอบการใช้ชีวิต และสิ่งที่ศาสนาห้ามนั้นล้วนไม่มีประโยชน์ มีแต่เป็นโทษกับมนุษย์เอง

สุราเป็นสิ่งต้องห้ามในคำสอนของทุกศาสนา นอกจากมีโทษแล้ว มันยังมีไว้เพื่อทดสอบมนุษย์ว่าจะใช้เสรีภาพเกินขอบเขตหรือไม่  กฎหมายที่มนุษย์เขียนขึ้นไม่มีบทลงโทษคนดื่มสุราจนกว่าจะเมาและทำร้ายคนอื่น แต่ในกฎของศาสนา การดื่มสุรามีบทลงโทษทางกฎหมายและทางจิตวิญญาณด้วย หากผู้ดื่มและผู้เกี่ยวข้องกับสุราไม่ถูกลงโทษในโลกนี้ ศาสนาจะเลื่อนการลงโทษไปยังโลกหน้า

อาหารบางอย่างเช่นเลือด เนื้อสุกรและเนื้อของสัตว์มีเขี้ยว ถึงแม้จะไม่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและไม่ทำให้มึนเมา แต่มันถูกห้ามในอิสลามก็เพื่อเป็นจุดตรวจสอบว่ามนุษย์จะใช้เสรีภาพในการกินจนเลยขอบเขตหรือไม่ ถ้าใครใช้เสรีภาพเกินขอบเขตในการกิน ก็สันนิษฐานไว้ก่อนได้เลยว่าคนผู้นั้นสามารถกินและทำทุกอย่างได้ไม่เลือก

ในคำสอนของอิสลาม คนที่ศรัทธาและปฏิบัติตามคำสอนของศาสนากระทำความดีและละเว้นจากการผิดศีลธรรมไม่ใช่เพราะกฎหมายบังคับ แต่เป็นเพราะคำสอนอิสลามกล่าวว่า เพียงแค่ใครคิดทำความดี พระเจ้าจะให้รางวัลตอบแทนหนึ่งความดี ถ้าใครทำความดีตามที่คิด พระเจ้าจะเพิ่มรางวัลตอบแทนเป็นสิบเท่า ส่วนใครที่คิดทำชั่ว พระเจ้ายังไม่เอาโทษ แต่ถ้าทำความชั่วตามที่คิด พระเจ้าจะลงโทษแค่หนึ่งความชั่ว แต่ถ้าใครละทิ้งความชั่วที่คิด พระเจ้าจะประทานรางวัลให้หนึ่งความดี

 


You must be logged in to post a comment Login