- ต้องมีก้างขวางคอไว้บ้างPosted 6 hours ago
- ส.ว.ต้องสร้างผลงานเชิดชูองค์กรPosted 2 days ago
- รอความจริงเปิดเผยPosted 5 days ago
- ไม่ประมาท โอกาสรอดมีเยอะPosted 5 days ago
- ล้างบางพระทาสยานรกPosted 6 days ago
- ยิ่งดิ้น ยิ่งจมPosted 1 week ago
- ไม่มีอะไรแน่นอนPosted 1 week ago
- ต้องเรียนวิชาป้องกันตัวเองPosted 2 weeks ago
- ยิ่งเรียน ยิ่งโง่ ยิ่งโต ยิ่งเซ่อPosted 2 weeks ago
- สื่อต้องเสนอข่าวสร้างสรรค์Posted 2 weeks ago
ศีลไม่ได้อยู่ที่พระ ธรรมะไม่ได้อยู่ที่วัด (1)
![](https://www.lokwannee.com/web2013/wp-content/uploads/2019/07/santitum-300x300.jpg)
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 18-25 ธ.ค. 63)
ผมไม่ทราบว่าคำพูดดังกล่าวเป็นของใครหรือของพระสงฆ์รูปใด แต่ผมชอบคำพูดนี้มากเพราะมันโดนใจและอยากให้คนไทยคิดถึงเรื่องนี้ จึงขออนุญาตนำมาตั้งเป็นชื่อบทความ
คำพูดดังกล่าวทำให้เรารู้ว่าคำสอนของทุกศาสนามีวัตถุประสงค์เดียวกันและมีไว้เพื่อให้มนุษย์ทุกคนปฏิบัติและในทุกสถานที่ ไม่ใช่ปฏิบัติโดยพระสงฆ์หรือนักบวชและมิใช่แค่ในวัดหรือในศาสนสถานเท่านั้น แต่ต้องปฏิบัติโดยมนุษย์ทุกคน ทุกเพศทุกวัย ทุกสถานะและในทุกสถานที่ของการดำเนินชีวิต เพราะศาสนาถูกประทานมายังโลกนี้พร้อมกับมนุษย์และเพื่อมนุษย์
ในโลกนี้ มนุษย์เท่านั้นที่มีศาสนา สัตว์ทั้งหลายไม่มี ศาสนาจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ ไม่เพียงเท่านั้น ศาสนายังช่วยยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงกว่าสัตว์ด้วย
คำสอนของทุกศาสนามีข้อห้ามที่ในทางพุทธเรียกว่า “ศีล” และข้อใช้ให้ปฏิบัติเรียกว่า “ธรรม” ถ้าคนในสังคมมีศีลและธรรม สังคมนั้นจะเกิดความปลอดภัยและความสงบสุข เพราะศาสนามีวัตถุประสงค์สำคัญดังต่อไปนี้
- เพื่อรักษาชีวิต จึงห้ามทำร้ายหรือทำลายชีวิตของผู้อื่น
- เพื่อรักษาเชื้อสาย จึงห้ามผิดประเวณีเพื่อไม่ให้เกิดการสับสนว่าเด็กเป็นลูกของใคร
- เพื่อรักษาทรัพย์สิน จึงห้ามขโมย ห้ามเล่นการพนัน
- เพื่อรักษาสติปัญญา จึงห้ามเสพสุราและสิ่งมึนเมา
- เพื่อรักษาความยุติธรรม จึงห้ามพูดปด
ศีลดังกล่าวมีอยู่ในคำสอนของทุกศาสนาก่อนที่โลกนี้จะมีรัฐบาลหรือรัฐสภามาออกกฎหมาย แม้มนุษย์จะออกกฎหมายมาใช้ภายหลัง แต่กฎหมายทุกฉบับล้วนมีพื้นฐานมาจากคำสอนของศาสนาทั้งสิ้น เพราะกฎหมายที่มนุษย์ออกมาก็เพื่อรักษาความปลอดภัย ความสงบและความยุติธรรม
การรักษาศีลคือการสำรวมตนมิให้ทำสิ่งต้องห้ามดังกล่าว ในสมัยที่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจรักษากฎหมาย ผู้คนรักษาศีลไม่ทำสิ่งต้องห้ามเพราะความกลัวบาปที่จะต้องได้รับโทษโดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายมาคอยควบคุม
กฎหมายมีบทลงโทษสำหรับผู้ผิดศีลและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยควบคุม แต่กระนั้นก็ยังมีผู้ละเมิดกฎหมายมากขึ้นทุกวันในขณะที่คนถือศีลด้วยความศรัทธาอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “หิริโอตตัปปะ” หรือความละอายต่อบาปเป็นตัวควบคุมพฤติกรรมของตนเอง
หากปราศจากหิริโอตตัปปะคอยควบคุม คนจะทำบาปได้ทันทีถ้าปลอดเจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย แต่ถ้าคนมีหิริโอตตัปปะ ต่อให้มีโอกาสทำบาป คนก็จะไม่ทำ
คนมีหิริโอตตัปปะจึงไม่ต้องมีใครมาควบคุมเหมือนกับสัตว์ที่ต้องมีคนคอยควบคุมมิให้หนีออกจากคอก
อิสลามใช้การถือศีลอดเพื่อเป็นการฝึกศาสนิกของตนให้เกิดความรู้สึก “เกรงกลัวพระเจ้าที่เฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา” ในการถือศีลอด ผู้ถือศีลอดจะได้รับบทเรียนว่าเมื่อตัวเองเว้นจากการกินการดื่มซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นได้ ทำไมจะละเว้นจากสิ่งที่ไม่จำเป็นเช่นอบายมุขไม่ได้
ในสมัยก่อน ผู้คนยังมีจำนวนน้อย การรักษาและการเผยแผ่คำสอนของศาสนาเป็นหน้าที่ของกลุ่มคนที่เรียกว่าพระสงฆ์หรือนักบวช แต่นั่นมิได้หมายความว่าคำสอนเรื่องศีลและธรรมเป็นเรื่องเฉพาะของพระหรือนักบวชที่ต้องปฏิบัติและปฏิบัติกันเฉพาะในวัดเท่านั้น
สถาบันสงฆ์และนักบวชทำหน้าที่แค่เพียงรักษาคำสอนของศาสนาเพื่อส่งต่อถึงคนรุ่นหลัง ปุถุชนต่างหากที่มีหน้าที่ต้องนำเรื่องศีลและธรรมไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันทั้งในบ้าน ในที่ทำงานและในสังคมที่มนุษย์อยู่
You must be logged in to post a comment Login