- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 2 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 2 months ago
- โลกธรรมPosted 2 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 2 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 2 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 2 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 2 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 2 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 2 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 2 months ago
ธาตุแท้ของมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 15-22 ม.ค. 64)
ในอดีตหรือแม้แต่ในปัจจุบันค่านิยมทางสังคมอย่างหนึ่งของมนุษย์คือ หากครอบครัวใดได้ทารกเกิดใหม่เป็นเพศชายถือเป็นเรื่องน่ายินดี ค่านิยมเช่นนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะผู้ชายเป็นผู้สืบตระกูล เป็นแรงงาน และเป็นกำลังสำคัญของครอบครัว
ชาวอาหรับยุคอวิชชาก่อนหน้าอิสลามก็มีค่านิยมเช่นนี้เหมือนกัน ค่านิยมนี้รุนแรงจนถึงขนาดที่ว่าหากครอบครัวใดได้ทารกเพศหญิง หัวหน้าครอบครัวจะรู้สึกผิดหวังหรือไม่ก็ถือเป็นความอัปมงคลสำหรับตัวเอง เพราะลูกสาวเป็นภาระในการเลี้ยงดู โตขึ้นก็ต้องแยกตัวไปเมื่อแต่งงาน ยามเกิดสงครามก็ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ หากถูกจับเป็นเชลยก็ต้องนำเงินไปไถ่ตัวคืนมา
ความรู้สึกนี้ของชาวอาหรับยุคอวิชชาก็เหมือนกับเกษตรกรที่เลี้ยงโคนมเห็นว่าลูกวัวตัวผู้เป็นภาระในการเลี้ยงดูและไม่ให้นมจึงขายทิ้งในราคาถูก แต่ถ้าลูกวัวเป็นตัวเมียจะเลี้ยงดูอย่างดีเพื่อเก็บไว้เป็นวัวนมในวันข้างหน้า
ชาวอาหรับในอดีตที่ถือว่าทารกเพศหญิงเป็นอัปมงคลจะนำทารกไปฝังทั้งเป็น ความรู้สึกอันเหี้ยมโหดนี้ประการหนึ่งเกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมทางทะเลทรายที่แห้งแล้งและทุรกันดาร และอีกประการหนึ่งเกิดจากชาวอาหรับสมัยนั้นไม่มีความคิดเรื่องชีวิตและพระเจ้า
เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลาม พระเจ้าได้ให้นบีมุฮัมมัดบอกกับชาวอาหรับว่าชีวิตเป็นของพระเจ้า ไม่ว่าชีวิตนั้นจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิง และเมื่อพระเจ้าประทานชีวิตมาแล้ว พระองค์จะรับผิดชอบในการประทานปัจจัยแก่ชีวิตใหม่ที่พระองค์ทรงส่งมาและแก่พ่อแม่ที่เป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตใหม่ด้วย เพราะพระองค์เป็นผู้ทรงประทานปัจจัย

นบีมุฮัมมัดเองได้สอนชาวอาหรับให้ไว้วางใจพระเจ้าในเรื่องปัจจัยยังชีพ ท่านยกตัวอย่างนกที่บินออกจากรังไปหากินยังได้หนอนหรือแมลงกลับมาป้อนลูกของมันจนเติบโตและมีชีวิตรอดสืบเผ่าพันธุ์ต่อไป
ดังนั้น ตามหลักคำสอนของอิสลาม เด็กที่เกิดใหม่ทั้งเพศหญิงหรือเพศชายคือของขวัญที่พระเจ้าให้มา เมื่อได้รับของขวัญจากพระเจ้าพ่อแม่จึงต้องแสดงความยินดีด้วยการทำพิธีที่เรียกว่า “อะกีเก๊าะฮฺ” เป็นการเฉลิมฉลอง โดยการเชือดแพะหรือแกะที่หาได้สักหนึ่งตัวมาทำเป็นอาหารเลี้ยงญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านของตน ถ้าจะแสดงความดีใจมากกว่านั้นที่ได้ทารกเพศชายก็ให้เชือดแพะหรือแกะ 2 ตัว
เมื่อชาวอาหรับเชื่อมั่นศรัทธาในพระเจ้า การฆ่าทารกเพศหญิงด้วยการฝังทั้งเป็นจึงหมดไปจากสังคม
แม้เวลาจะผ่านไปนับพันปี ความอยากได้ลูกชายเป็นผู้สืบตระกูลและเป็นกำลังของครอบครัวทำให้ความรู้สึกรังเกียจทารกเพศหญิงยังไม่หมดไปจากจิตใจของมนุษย์ ยิ่งในสังคมที่รัฐควบคุมจำนวนบุตรยิ่งทำให้ครอบครัวส่วนใหญ่ต้องการลูกเพศชายและไม่ต้องการลูกเพศหญิง ดังนั้น ถ้ารู้ว่าทารกในครรภ์เป็นเพศหญิง พ่อแม่บางครอบครัวก็จะหาทางกำจัดทิ้งโดยหวังว่าจะมีทารกเพศชายเกิดขึ้นในการตั้งครรภ์ครั้งหน้า แต่วิธีการกำจัดทารกเพศหญิงเท่านั้นที่แตกต่างไปจากเดิม
สังคมอาหรับในสมัย 2,000 ปีก่อนยังไม่มีความเจริญ การกำจัดทารกเพศหญิงด้วยการฝังทั้งเป็นจะทำเมื่อทารกคลอดออกมาให้เห็นเสียก่อน
แต่ในยุคที่โลกเจริญ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแพทย์ทำให้มนุษย์สามารถใช้เครื่องอัลตราซาวนด์ตรวจสอบเพศของทารกในครรภ์ได้ ผู้หญิงบางคนที่ตั้งครรภ์อยู่ เพียงแค่พ่อแม่ที่ต้องการได้ลูกผู้ชายรู้ว่าทารกในครรภ์เป็นเพศหญิง ทารกจะถูกกำจัดตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของแม่ด้วยการทำแท้งก่อนที่จะคลอดออกมาดูโลกเสียก่อน
ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ธาตุแท้ดั้งเดิมของมนุษย์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่วิธีการตอบสนองธาตุแท้ของมนุษย์เท่านั้นที่เปลี่ยนไป
You must be logged in to post a comment Login