- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
เถื่อนรีเทิร์น
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 22-29 ม.ค. 64 )
ในศาสนาที่มีความเชื่อเรื่องพระเจ้า คำสอนของศาสนาจะย้ำว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างชีวิต ดังนั้น พระเจ้าจะทรงรับผิดชอบในการดูแลและจัดเตรียมปัจจัยยังชีพแก่ทุกชีวิตที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาอย่างเพียงพอ มนุษย์ไม่ต้องเกรงกลัวว่าปัจจัยหรือทรัพยากรบนโลกใบนี้จะหมดไป เพราะพระองค์ทรงมีปัจจัยอย่างเหลือหลาย แม้แต่หอยทากหรือหนอนที่ไม่มีมือมีเท้าก็ยังได้รับปัจจัยยังชีพจากพระองค์
คำสอนของศาสนาเป็นความจริง สมัยดึกดำบรรพ์มนุษย์ใช้ไม้ฟืนเป็นแหล่งที่มาของพลังงานความร้อนและแสงสว่าง หลังจากนั้นมนุษย์ก็ค้นพบแหล่งพลังงานจากถ่านหิน น้ำมัน กระแสน้ำ ลม แสงแดด และนิวเคลียร์ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้มากมายจนมนุษย์สามารถใช้พลังงานนิวเคลียร์ทำลายโลกได้ทั้งหมด
การปฏิวัติอุตสาหกรรมและการปฏิวัติเขียวทำให้ผลผลิตทางอุตสาหกรรมและการเกษตรมีมากเกินความต้องการบริโภคของมนุษย์ จนบางครั้งสินค้าเกษตรส่วนเกินบางอย่างถูกนำไปทำลายทิ้งแทนที่จะนำไปเลี้ยงคนอดอยากขาดแคลน
ถึงแม้จะมีปัจจัยมากมาย แต่ในคำสอนของศาสนาได้สั่งให้มนุษย์ใช้อย่างประหยัดและแบ่งปันส่วนเกิน แต่ลัทธิทางเศรษฐกิจสมัยใหม่โดยเฉพาะลัทธิทุนนิยมกลับสอนสวนทางกับศาสนาว่าทรัพยากรมีจำกัด แต่ส่งเสริมให้มนุษย์บริโภคมากๆเพื่อการเจริญเติบโต
คริสต์ศตวรรษที่ 18 โรเบิร์ต มอลธัส บาทหลวงและนักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎีว่าผลผลิตอาหารของโลกเพิ่มขึ้นไม่ทันการเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษย์ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ในอนาคตอาหารจะไม่เพียงพอสำหรับมนุษย์และมนุษย์จะอดตาย
ต่อมาทฤษฎีของโรเบิร์ต มอลธัส ได้ถูกนำมาใช้อ้างในการวางแผนประชากรโดยอาศัยวาทกรรมลวงโลกว่า “การวางแผนครอบครัว”
ถ้าการวางแผนครอบครัวเป็นการวางแผนเพื่อสร้างครอบครัวผ่านการแต่งงานของผู้ชายและผู้หญิงเพื่อสร้างประชากรที่มีคุณภาพต่อมาก็เป็นเรื่องดีที่น่าสนับสนุน
แต่การวางแผนครอบครัวกลับปรากฏออกมาในรูปของการส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อการจำกัดจำนวนประชากร มีการรณรงค์ด้วยคำขวัญที่ว่า “ลูกมากจะยากจน” หลายประเทศที่กำลังพัฒนาตามแบบแผนฝรั่งจึงกำหนดนโยบาย 1 ครอบครัว ลูก 1 คน ชาติใดที่ต้องอาศัยเงินกู้จากชาติตะวันตกเพื่อพัฒนาประเทศจะต้องกำหนดแผนการคุมกำเนิดไปด้วยจึงจะได้เงินกู้
การรณรงค์วางแผนครอบครัวโดยการใช้ถุงยางอนามัยในสังคมที่พัฒนาทางวัตถุแต่เสื่อมทรามทางศีลธรรมจึงค่อยๆเปิดโอกาสให้ความสำส่อนทางเพศโดยไม่ต้องรับผิดชอบแพร่หลายขยายตัวมากขึ้น บางครั้งถึงขนาดส่งเสริมให้มีการติดตั้งตู้จำหน่ายถุงยางอนามัยโดยหยอดเหรียญไว้หน้าโรงเรียนเพื่อให้นักเรียนซื้อไปใช้ตอบสนองความสำส่อนอย่างเสรี
วันนี้ผลผลิตของความสำส่อนได้ปรากฏออกมาในรูปจำนวนการทำแท้งของเด็กที่ตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์เพราะไม่พร้อมที่จะมีครอบครัวเพิ่มมากขึ้นจนมีการหาทางออกกฎหมายรับรองให้ถูกต้อง
เมื่อ 1,500 ปีก่อน ชาวอาหรับทะเลทรายในยุคเถื่อนเกลียดการมีลูกผู้หญิงเพราะถือว่าเป็นภาระในการเลี้ยงดู เมื่อทารกหญิงเกิดมาจะถูกนำไปฝังทั้งเป็น
เมื่ออิสลามปกครองชาวอาหรับ การฝังทารกทั้งเป็นได้สิ้นสุดลง ไม่เพียงเท่านั้น ใครทำให้คนอื่นเสียชีวิตแม้เป็นทารกในครรภ์ต้องจ่ายค่าสินไหม ในสมัยนบีมุฮัมมัดผู้หญิง 2 คนทะเลาะกัน และผู้หญิงคนหนึ่งได้เอาหินขว้างผู้หญิงคู่กรณีที่ตั้งครรภ์จนนางแท้งลูก นบีมุฮัมมัดได้ตัดสินให้หญิงที่ทำให้เด็กแท้งต้องชดใช้ด้วยการให้ทาสหญิงหรือทาสชายเป็นสินไหมแก่ผู้เสียหาย
ครอบครัวชาวจีนถูกจำกัดให้มีลูกได้ 1 คน ทุกครอบครัวจึงอยากได้ลูกผู้ชาย ถ้าผู้หญิงตั้งครรภ์และตรวจอัลตราซาวนด์รู้ว่าทารกในครรภ์เป็นเพศหญิงก็จะทำแท้งทันทีก่อนที่ทารกจะคลอด
แต่การทำแท้งในยุคปัจจุบันที่กำลังจะออกเป็นกฎหมายนั้น เหตุผลมิใช่เพราะรัฐต้องการจำกัดประชากร และมิใช่เพราะสภาพความอดอยากขาดแคลน แต่เพราะอะไรฝากไว้เป็นปลายเปิดให้ผู้อ่านคิดเอาเอง
You must be logged in to post a comment Login