- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ใจที่สกปรกไม่อาจพาร่างที่สะอาดไปสวรรค์
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 5-12 ก.พ. 64)
วิญญาณของมนุษย์ในตอนเป็นทารกเป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ แต่เพราะทารกยังไม่รู้จักและไม่รู้ว่าสิ่งใดสกปรก ทารกจึงเล่นสิ่งสกปรกโดยไม่รู้สึกรังเกียจใดๆ ต่อเมื่อทารกเติบโต มีความรู้สึกนึกคิด มีการศึกษา และมีวัฒนธรรม มนุษย์จึงเริ่มเห็นความสำคัญของความสะอาด
แต่เนื่องจากชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและวิญญาณ ทั้งสองส่วนของชีวิตจึงต้องการความสะอาดพอๆกัน ทางด้านร่างกายภายนอก มนุษย์สามารถทำสิ่งที่ช่วยให้เกิดความสะอาดได้ แต่ภายในร่างกายและโดยเฉพาะวิญญาณ มนุษย์ไม่มีความรู้ เพราะมนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้างวิญญาณ
ด้วยเหตุนี้พระเจ้าผู้สร้างมนุษย์จึงส่งคู่มือและส่งคนมาบอกถึงวิธีการทำความสะอาดชีวิตทั้งร่างกายและวิญญาณในรูปของศาสนาที่มีศาสดาหรือนบีมาเป็นผู้สั่งสอน
ในคัมภีร์กุรอานระบุชัดว่า นบีทุกคนถูกส่งมาเพื่อสอนการขัดเกลาตัวตนของมนุษย์ให้สะอาดบริสุทธิ์ทั้งภายนอกและภายใน เพราะแก่นธรรมสำคัญของอิสลามคือความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว และความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา
เนื่องจากวิญญาณเป็นตัวบงการพฤติกรรมของมนุษย์ วิญญาณที่สกปรกเปรอะเปื้อนไปด้วยมลทินไม่มีวันบงการให้มนุษย์คิดดีทำดี ศาสนาจึงสอนมนุษย์ให้เริ่มต้นทำความสะอาดหัวใจของตัวเองก่อน
ในสมัยก่อนหน้าอิสลามชาวอาหรับใช้ชีวิตกลางทะเลทรายที่หาน้ำได้ยาก นานวันจึงอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า ชาวอาหรับกินแม้กระทั่งซากสัตว์และไม่รู้จักแปรงฟัน นอกจากนี้แล้วชาวอาหรับยังมีความเชื่อในเรื่องโชคลางไสยศาสตร์และกราบไหว้เจว็ดบูชาสารพัดรูปร่าง เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลาม ท่านถือว่าความเชื่อในโชคลางไสยศาสตร์และการกราบไหว้เจว็ดบูชาเป็นมลทินที่เกาะกินจิตใจ ท่านจึงบอกสาวกให้ชำระมลทินเหล่านี้ออกจากจิตวิญญาณและหันมาเคารพสักการะพระเจ้าองค์เดียว
เมื่อชาวอาหรับหันมาศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว พฤติกรรมของชาวอาหรับที่หันมานับถืออิสลามก็เริ่มเปลี่ยนแปลง เพราะคำสอนของพระเจ้ากำหนดให้ผู้ศรัทธาต้องละหมาดวันละ 5 เวลา และก่อนการละหมาดต้องมีการชำระล้างร่างกายบางส่วนที่อาจสัมผัสสิ่งสกปรก เช่น มือและแขนทั้งสองข้าง ปาก ใบหน้า หู ตา จมูก และเท้า อวัยวะภายนอกของชาวอาหรับจึงได้สัมผัสน้ำวันละหลายครั้ง
นบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า หากไม่เกรงว่าจะเป็นการสร้างความยุ่งยากลำบาก ท่านจะกำหนดให้สาวกของท่านต้องแปรงฟันทุกครั้งก่อนการละหมาดเสียด้วยซ้ำ แม้น้ำจะหายากแต่ท่านนบีมุฮัมมัดได้กำหนดว่า ในวันศุกร์มุสลิมต้องอาบน้ำชำระร่างกายและใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ที่สะอาดเพื่อไปละหมาดร่วมกันตอนบ่ายที่มัสยิด การมีอสุจิเคลื่อนออกมาจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาถือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ร่างกายสกปรกและต้องทำความสะอาดด้วยการอาบน้ำทั่วทั้งร่างกาย หากยังไม่อาบน้ำก็ไม่สามารถทำละหมาดได้
ความจำเป็นทางศาสนาที่ต้องใช้น้ำชำระล้างร่างกายทุกวันทำให้ชาวอาหรับต้องขุดหาน้ำและหาวิธีการรักษาน้ำไว้เพื่อตอบสนองความศรัทธา
หลังจากนั้นคำสอนของอิสลามยังกำหนดให้ผู้ศรัทธาในพระเจ้าต้องกินอาหารที่ “พระเจ้าอนุมัติ (ฮาลาล) และดี” เพราะอาหารที่กินเข้าไปจะถูกย่อยเป็นเลือดเนื้อ นบีมุฮัมมัดได้กำชับสาวกของท่านว่า เลือดเนื้อของคนใดที่ถูกหล่อเลี้ยงมาด้วยอาหารที่สกปรกและเป็นที่ต้องห้าม พระเจ้าจะไม่รับคำวิงวอนของคนผู้นั้น
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ชาวอาหรับเริ่มเข้าใจได้ว่าเจว็ดบูชาที่พวกตนกราบไหว้กันมานานนับหลายศตวรรษไม่สามารถบอกวิถีการดำเนินชีวิตแก่ตนได้ ในขณะที่พระเจ้าที่แท้จริงเป็นผู้บอกแนวทางการดำเนินชีวิตที่ดีกว่าให้แก่พวกตน ไม่นานความเชื่องมงายจึงค่อยๆหายไปจากชาวอาหรับ
นอกจากความเชื่อในเรื่องโชคลางไสยศาสตร์ที่เป็นมลทินเกาะกินจิตใจแล้ว ยังมีมลทินอีกหลายอย่างที่เกาะกินจิตใจมนุษย์ เช่น ความตระหนี่ที่ทำให้มนุษย์ขาดความเมตตา ด้วยเหตุนี้เราจึงพบว่าทุกศาสนาต่างมีคำสอนให้ศาสนิกของตนชำระล้างมลทินแห่งความตระหนี่ด้วยการบริจาคทาน ชำระมลทินแห่งความโกรธให้ชำระล้างด้วยการให้อภัย เป็นต้น
เพราะศาสนาต้องการนำพามนุษย์ไปสู่สวรรค์ แต่จิตใจที่สกปรกไม่มีวันนำพาร่างกายที่สะอาดไปสู่สวรรค์ได้ ถ้าไม่ชำระจิตใจให้สะอาดก็อย่าหวังว่าจะไปสวรรค์
You must be logged in to post a comment Login