- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
การจัดการศพในอิสลาม
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 12-19 ก.พ. 64 )
คัมภีร์กุรอานเล่าเรื่องราวการสร้างมนุษย์คนแรกไว้ว่า เมื่อพระเจ้าสร้างอาดัมขึ้นมา พระองค์ได้สอนความรู้ต่างๆให้อาดัม เพื่อที่เขาและลูกหลานของเขาจะมาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพระองค์บนโลกใบนี้
เมื่ออาดัมถูกส่งมายังโลกใบนี้และมีลูกหลายคน กอบีล (อาเบล) ลูกชายคนหนึ่งของอาดัม ได้ฆ่าฮาบีล (อาเบล) น้องชายของตนเองเพราะความอิจฉาริษยา หลังจากฆ่าแล้วกอบีลไม่รู้ว่าจะจัดการกับศพน้องของตัวเองอย่างไร พระเจ้าจึงให้อีกา 2 ตัวมาจิกตีกันจนตัวหนึ่งตาย ตัวที่ชนะใช้เท้าเขี่ยดินเป็นหลุมและเขี่ยอีกาที่ตายแล้วลงหลุมแล้วเขี่ยดินกลบ กอบีลจึงจัดการฝังศพน้องของตัวเองตามแบบอีกา
นี่คือการฆาตกรรมครั้งแรกบนโลกมนุษย์ และเป็นครั้งแรกที่มนุษย์จัดการกับศพด้วยการฝังโดยไม่มีพิธีใดๆ เพราะในตอนนั้นพิธีกรรมทางศาสนายังไม่ได้ถูกประทานมา
เรื่องเล่าตรงนี้บอกให้รู้ว่าแม้มนุษย์ได้รับสติปัญญา แต่มนุษย์ยังต้องเรียนรู้วิธีจัดการชีวิตอีกมาก
หลุมฝังศพของอับราฮัมและนบีคนอื่นๆที่เป็นลูกหลานของอับราฮัมในเมืองต่างๆยืนยันว่าศาสนาที่เชื่อในพระเจ้าจัดการศพโดยการฝัง ชาวยิว ชาวคริสเตียน และชาวมุสลิมจึงปฏิบัติสืบต่อมาจนทุกวันนี้
คำสอนของอิสลามกล่าวว่า มนุษย์ถูกสร้างมาจากดิน ดังนั้น เมื่อมนุษย์ตายมนุษย์ต้องกลับไปสู่ดิน ระหว่างการฝังศพ ผู้ทำพิธีฝังศพจะอ่านถ้อยคำที่มีความหมายว่า “จากดินเรา (พระเจ้า) สร้างเจ้ามา และเราให้เจ้ากลับเข้าไปในดิน และเราจะนำเจ้าออกมาจากดินสู่อีกโลกหนึ่ง” เพื่อเป็นการเตือนผู้ที่มาร่วมพิธีฝังศพ
คำสอนของทุกศาสนาสอนให้มนุษย์ยอมรับความตายว่าเป็นความจริงเพื่อจะได้ไม่เป็นทุกข์ เพราะชีวิตและความตายอยู่ในอำนาจของพระเจ้า ไม่มีใครขวางได้ ดังนั้น เมื่อได้ยินข่าวการตาย อิสลามจึงสอนให้มุสลิมกล่าวถ้อยคำภาษาอาหรับที่มีความหมายว่า “แท้จริงเราเป็นของพระเจ้า และยังพระองค์ที่เราจะกลับไป”
ศพแม้จะไม่มีชีวิต แต่อิสลามถือว่าศพมีความอาย ดังนั้น การอาบน้ำศพต้องทำอย่างมิดชิด ผู้ชายอาบน้ำให้ศพผู้ชายและผู้หญิงอาบน้ำให้ศพผู้หญิง ศพจะถูกรีดท้องเบาๆเพื่อให้อุจจาระหรือปัสสาวะที่คั่งค้างออกมา หลังจากนั้นศพจะถูกอาบน้ำถูสบู่ทั่วทั้งร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าโดยมีผ้าคลุมศพอย่างมิดชิดตั้งแต่คอจนถึงตาตุ่มสำหรับศพผู้หญิง ส่วนศพผู้ชายปิดตั้งแต่สะดือลงไป การอาบน้ำศพจบด้วยการใช้น้ำผสมพิมเสนหรือการบูรราดอีกทีหนึ่ง คนอาบน้ำศพถูกห้ามมิให้นำสิ่งที่ไม่ดีของศพออกมาพูดให้คนอื่นฟัง
เสร็จจากการอาบน้ำแล้ว ศพจะถูกนำมาวางไว้บนผ้าขาวที่โรยด้วยการบูรหรือพิมเสนเพื่อกลบกลิ่นศพ ศพผู้ชายจะถูกห่อด้วยผ้าขาว 3 ผืน ส่วนศพผู้หญิงจะถูกห่อด้วยผ้าขาว 5 ผืน
หลังจากห่อศพเสร็จแล้ว ศพจะถูกนำไปใส่ไว้ในโลงที่ทำจากไม้ราคาถูกหรืออาจนำไปวางไว้บนแคร่ จะรวยขนาดไหนก็ไม่อนุญาตให้ใช้โลงศพราคาแพง
การจัดพิธีศพเป็นข้อบังคับที่อิสลามกำหนดให้เป็นหน้าที่ทางสังคม สังคมมุสลิมจึงต้องรับผิดชอบร่วมกัน หากมีการตายเกิดขึ้น เมื่อถึงเวลาทำพิธีขอพร (ละหมาด) ให้แก่ศพ ใครที่สามารถมาร่วมได้ก็จะมาร่วมโดยไม่ต้องมีการเชิญ การขอพรให้แก่ศพใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที
ก่อนการละหมาดขอพรให้ศพ ทายาทของศพจะประกาศให้คนที่มาร่วมละหมาดศพยกโทษให้แก่ศพหากผู้ตายเคยล่วงเกินใครไว้ และหากผู้ตายมีภาระหนี้สินกับใคร ทายาทจะประกาศตัวเป็นผู้รับผิดชอบการชดใช้ เพราะอิสลามถือว่าหนี้สินเป็นสิทธิระหว่างมนุษย์ หากไม่ชำระหนี้แม้จะพลีชีพเพื่อศาสนาซึ่งเป็นการตายอย่างมีเกียรติก็ยังไม่ได้เข้าสวรรค์จนกว่าเจ้าหนี้จะยกหนี้ให้
สาระสำคัญของคำขอพรให้แก่ศพก็คือ การขอให้พระเจ้าอภัยโทษและประทานความเมตตาแก่ศพ เพราะ 2 สิ่งนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญที่พระเจ้าจะรับใครเข้าสวรรค์
หลังจากละหมาดขอพรให้ศพแล้ว ศพจะถูกแบกไปยังสุสานเพื่อฝังในหลุมที่ขุดลึกลงไปประมาณ 1 เมตร ศพจะถูกวางตะแคงขวาและหันไปทางทิศเดียวกับที่มุสลิมหันไปในเวลาละหมาด นั่นคือ ก๊ะอฺบ๊ะฮฺ หลุมศพจะถูกกลบด้วยดิน และห้ามสร้างอาคารถาวรไว้เหนือหลุมศพ เพื่อมิให้กลายเป็นสถานที่สักการะ
พิธีกรรมจัดการศพทั้งหมดใช้เวลาภายในหนึ่งวันเพื่อไม่ให้เกิดการสิ้นเปลือง
You must be logged in to post a comment Login