- “ทักษิณ” ยังมีมนต์ขลังPosted 22 hours ago
- อย่าไปอินPosted 4 days ago
- ปีดับคนดังPosted 5 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 6 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 1 week ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 1 week ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 2 weeks ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 2 weeks ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
เศรษฐกิจกับความปลอดภัย
คอลัมน์ : สำนักข่าวพระพยอม
ผู้เขียน : พระพยอม กัลยาโณ
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 7 เม.ย. 64)
เมื่อเร็วๆนี้ มีผลสำรวจพฤติกรรมและการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2564 ที่สำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 1,256 คนทั่วประเทศ ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบคนไทยยังไม่เห็นด้วยการเปิดประเทศรับนักเที่ยวต่างชาติ โดยนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ บอกว่า ได้สอบถามถึงความเชื่อมั่นการป้องกันการแพร่ระบาดจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด -19 ซึ่งผู้ตอบส่วนใหญ่ 42.8% มั่นใจปานกลาง
อีก 32.1 บอกไม่มั่นใจเลยถึงมั่นใจน้อยมาก และอีก 25.1 บอกมั่นใจมากถึงมากที่สุด ส่วนทรรศนะต่อการให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในไทย ผู้ตอบส่วนใหญ่ 68.6 % บอกไม่เห็นด้วย เพราะสถานการณ์การติดเชื้อยังไม่แน่นอน คนไทยยังไม่ได้ฉีดวัคซีน อาจก่อให้เกิดการระบาดรอบใหม่ แต่อีก 31.4 % เห็นด้วย เพราะสร้างรายได้ให้กับประเทศ ช่วยภาคบริการท่องเที่ยวฟื้นตัว และสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจ
ส่วนทิศทางเศรษฐกิจขณะนี้ว่า มาตรการของรัฐยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และคาดหวังว่า เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ จะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งเดิมศูนย์ฯ ประเมินจะมีเม็ดเงินสะพัดช่วงสงกรานต์ปี 64 ประมาณ 140,000 ล้านบาท แต่ผลสำรวจพบ เงินหายไป 25,000-30,00 ล้านบาท ทำให้บรรยากาศเศรษฐกิจยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัว และประชาชนมองว่า เศรษฐกิจปี 64 จะขยายตัวต่ำกว่า 3 %
นายธนวรรธน์ บอกว่า รัฐบาลยังจำเป็นต้องกระตุ้นความเชื่อมั่นผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการคนละครึ่งเฟส 3 เร่งใช้จ่ายในโครงสร้างพื้นฐาน สนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศในช่วงวันธรรมดา นอกจากนี้ รัฐยังจำเป็นดูแลเรื่องของภาษี ซึ่งศูนย์ฯ สนับสนุนให้รัฐบาลคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ 7 % อย่างน้อยอีก 2 ปี เพราะยังมีความจำเป็นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในเวลานี้
ด้านภาครัฐอย่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าททท. ระบุว่า ททท.ได้ประเมินการเดินทางของคนไทยภายใต้เทศกาลสงกรานต์แบบวิถีใหม่ในปีนี้ จังหวัดท่องเที่ยวหลายแห่งจะกลับมาจัดงานกันอีกครั้งหลังจากที่หยุดไปในปีก่อน เพราะเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งเมืองหลัก และเมืองรอง คือ กรุงเทพฯ พระนครศรีอยุธยา เชียงใหม่ สุโขทัย ลำปาง บุรีรัมย์ ขอนแก่น และ หนองคาย โดย ททท. ประเมินว่า จะมีจำนวนชาวไทยไปเที่ยวประมาณ 7.30 แสนคน-ครั้ง และสร้างรายได้หมุนเวียนมากกว่า 3,700 ล้านบาท โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 30%
ทั้งนี้ ภูมิภาคที่มีการเดินทางท่องเที่ยวมากที่สุดยังคงเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวระยะใกล้อย่างภาคกลาง ด้วยพฤติกรรมคนไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจะไม่นิยมเดินทางระยะไกลในช่วงนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดและอุบัติเหตุ บนท้องถนน นอกจากนี้ผลกระทบจากโควิด-19 ยังทำให้เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว และหนี้ครัวเรือนสูง นักท่องเที่ยวมีกำลังซื้อน้อยและเน้นการใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น
ขณะที่พื้นที่ท่องเที่ยวระยะไกล คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่เดินทางกลับไปเยี่ยมญาติและถือโอกาสท่องเที่ยวไปพร้อมกัน สำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวระยะใกล้ สามารถขับรถยนต์ท่องเที่ยวได้เอง เช่น นครราชสีมา ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี ราชบุรี และพระนครศรีอยุธยา โดยคนไทย นิยมพาครอบครัวไปทำบุญ สรงน้ำพระ เพื่อความเป็นสิริมงคลเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ไทย หรือเดินทางมาท่องเที่ยวและทำกิจกรรมทางน้ำเพื่อคลายร้อน เช่น การล่องแพ เล่นน้ำตก และน้ำทะเล
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า ผลสำรวจของม.หอค้าการไทย เป็นการตอกย้ำว่า เทศกาลสงกรานต์ปีนี้จะไม่คึกคักเหมือนในอดีตอย่างแน่นอน เนื่องจากคนไทยยังผวาโรคโควิด-19 ยังไม่อยากให้เปิดประเทศรับชาวต่างประเทศเข้ามาเที่ยวประเทศไทย แม้ว่า รัฐบาลจะประกาศให้มีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้ว โดยไม่ต้องกักตัว ซึ่งจะเริ่มทดสอบที่จ.ภูเก็ตเป็นแห่งแรก ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ แต่รัฐบาลก็ควรรีบชี้แจงให้คนไทยได้รับรู้ รับทราบว่า ระหว่างเศรษฐกิจกับปัญหาโรคโควิด-19 ที่กำลังกลับมาแพร่ระบาดระลอก 3 อีกครั้ง
ถ้าเรามัวแต่เอาเศรษฐกิจมาก เราอาจจะได้รับภัยอย่างใหญ่หลวงกลับมาอีก เลยต้องเรียกกันว่า ต้องชั่วใจกันล่ะ เศรษฐกิจกับโควิดหรือโรคภัยไข้เจ็บ อันไหนที่เราควรจะหลบได้ นอกจากนี้ ผลสำรวจพบว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมั่นใจในวัคซีนโควิดที่ฉีดว่า จะป้องกันโรคโควิดได้เต็มร้อย ดังนั้น คนไทยส่วนใหญ่จึงยังไม่อยากให้เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามา เพราะกลัวว่า จะมีการแพร่ระบาดรอบ 3 และถ้าโควิดระบาดรอบ 3 ต้องเรียกกันว่า เป็นรอบที่ละเลงความล้มเหลวการจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจแทบทุกอย่าง
เพราะฉะนั้น หลายแห่งก็เรียกร้อง จ.ภูเก็ต ที่อยากจะจัดโมเดลรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้ว โดยไม่ต้องกักตัว ไม่ต้องอะไรกัน มันก็สุ่มเสี่ยง แต่ว่า นั่นแหละ สุ่มเสี่ยงเนี่ย ไม่เสี่ยงเลย มันก็ยาก เสี่ยงมากก็อันตราย ตกลงว่า จะเอาไงกันดี คงต้องติดตามดูกันต่อไปว่า จะชี้แจงให้ประชาชนได้เข้าใจได้อย่างไรว่า เรื่องเปิดประเทศนั้นกับการกันเหนียวก่อน จะเอายังไงกันแน่ แต่ละฝ่ายคงจะเรียกร้องต้องการไม่เหมือนกัน โรงแรม สถานที่ตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆก็คงจะต้องบอกว่า อยากเปิดประเทศ
ส่วนสาธารณสุขคงจะคิดหนัก ถ้าเปิดประเทศไปแล้ว มันเกิดย้อนรอยกลับมาอีก จะทำให้ยากต่อการลำบากแก้ไข และกลับซ้ำหนัก ทั้งภัยและเศรษฐกิจวืดไปด้วยกัน และถ้าวูบไปด้วยกันก็จะเรียกว่า ซ้ำ 2 ซ้ำ 3 ผีซ้ำด้ามพลอย พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก ไปกันใหญ่อีก ก็หวังว่ารัฐบาลคงจะใช้ความรอบคอบและชี้แจงกันไปให้เข้าใจว่า ปลอดภัยไว้ก่อน หรือว่า รวยกันก่อน ตายผ่อนส่งก็ไม่เป็นไรอะไรทำนองนี้ เอาล่ะ อยู่ที่ว่า ผู้นำประเทศจะกล้าตัดสินใจเอาอย่างนั้นกันแน่ ระหว่างเศรษฐกิจกับความปลอดภัย ซึ่งโรคภัยไม่ค่อยจะทำให้เราปลอดภัย ทั้งเศรษฐกิจและความปลอดภัยมันก็ยิ่งใหญ่ทั้งคู่
เจริญพร
You must be logged in to post a comment Login