วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ยุคเกลื่อนกลาดศาสดา

On April 22, 2021

คอลัมน์ : สำนักข่าวพระพยอม

ผู้เขียน : พระพยอม กัลยาโณ

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 22 เม.ย. 64)

ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้ออกมาบอกว่า พระสงฆ์ฆ่าตัวตาย ถือว่า เป็นบาป และไม่สนับสนุน ต้องห้าม ต้องเตือน พระพุทธเจ้าไม่รับเรื่องนี้ และเรื่องนี้ก็ดราม่าดังกันขึ้นมา เพราะมีการใช้เครื่องประหารที่เรียกว่า หิโยติน ตัดศรีษะ ซึ่งเป็นที่มาของลัทธิกิโยติน และเรื่องการไปบอกว่า เอาหัวไปบูชาพระพุทธเจ้า จะเป็นพระธาตุอะไรก็แล้วแต่ คล้ายๆกับว่า ถ้าหากว่า ได้บูชาแบบนี้แล้ว ตัวเองจะได้เป็นอะไรต่ออะไรที่ยิ่งใหญ่ 

ที่สำคัญเป็นการดึงพระพุทธเจ้าให้เหมือนเป็นผู้ที่ไม่ได้รังเกียจคนตัดหัวมา ถ้าเป็นอาตมาใครเอาหัวลูก หัวพ่อ หัวแม่ มาถวาย จะรับหรือไม่ ถ้ารับก็ต้องเรียกว่า หมดสภาพความเป็นพระ จิตสำนึกในความรังเกียจไม่มีเสียเลยเชียวหรือ ซึ่งธรรมดาแล้วพระจะต้องรับของที่เป็นประณีต ละเอียดอ่อน หรือเป็นพวกโอชา รสที่ทำจาก 9 ทิพย์อะไรต่างๆ นี่มารับของที่เป็นเลือด เป็นคาว ต้องเรียกกันว่า ถ้าพระพุทธเจ้ารับ คนทั้งโลกคงเลิกนับถือพระพุทธเจ้าไปอีกเยอะ 

แต่ว่า ผู้ที่ทำเรื่องนี้ ไปอ้างเองขึ้นมา ก็เป็นเรื่องกรรมของเขาก็แล้วกัน เรื่องนี้พระพุทธเจ้าเคยสอนเปรียบเทียบเหมือนว่า ถ้าถากป่าก็อย่าตัดต้นไม้ ถ้าถากกิเลศ ทุกข์ก็อย่าทำลายชีวิต อย่าตัดตอนทอนชีวิต นี่ไปตัดรอนทอนชีวิต แล้วจะอยู่กันยังไง มันต้องทำให้เกิดหลักฐานที่ชัดเจนว่า ความเข้าใจผิดในเรื่องดับทุกข์ ดับกิเลศมันมีมากนาน ตั้งแต่สมัยครูสำรวม ปรีชาวงศ์ เคยมีทฤษฎีว่า ทุกข์มี เพราะมีเรา เรามี เพราะมีชีวิต 

เพราะฉะนั้น ถ้าจะดับทุกข์ก็ต้องตัดชีวิต ดับชีวิต แล้วก็ฆ่าตัวตาย ตามที่ประกาศเอาไว้ตามนั้นจริงๆ ซึ่งไม่ถูกตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ก็เป็นเรื่องที่คิดว่า ทางคณะสงฆ์ ทางสำนักพุทธฯอะไรต่างๆต้องจัดการ ติดตามดูสำนักใหม่ๆที่เกิดขึ้น เรียกว่า ที่เกิดขึ้นมา โดยแปลกๆ อัตโนมัติ แล้วมีลูกศิษย์ ลูกหาไปเชื่อ อันนี้ก็มีการไม่ห้ามปรามอะไร เพราะเห็นว่า เป็นเรื่องความตั้งใจของท่าน เลยกลายเป็นเรื่องลูกศิษย์ต้องมีความผิดด้วย 

นี่กลายเป็นเรื่องเฉียดคุก เฉียดตะรางไป ดังนั้น การนับศาสนา พระพุทธศาสนาเคยเปรียบเหมือนหญ้าคา ธรรมวินัยของพระองค์ ซึ่งหญ้าคาใบมันคม บาดมือคนง่าย คนที่ไปถอน แล้วถอนไม่ดี กำไม่แน่น หญ้าคาก็บาดมือ แต่ถ้ากำแน่น ถอนเป็น ถอนดี ก็กลายเป็นหลังคามุมบ้านทำให้มีร่มไม้ชายคา เป็นที่พักอาศัย ฝนมา ฟ้าร้อง ไม่เปียกปอน นี่ก็เป็นอุปมาดี ว่า ใครจับถูก จับดี ก็มีความร่มเย็นในชีวิต ไม่เปียกปอนเมื่อฝนมา ไม่ร้อนฉ่าเมื่อแดดออก 

เลยกลายเป็นเรื่องว่า คนที่ทำร้ายชีวิตตัวเองในครั้งนี้ เลยกลายเป็นเรื่องถอนหลักธรรม กำหลักธรรมไม่แน่น หรือจับผิดก็เลยปาดคอ หลักธรรมเหมือนหญ้าคา ปาดคอ ตัดคอ ก็เสียชีวิตไป ดังนั้นพระใหม่ๆทั้งหลายที่อยากไปสร้างสำนักสาขาอะไรต่างๆ ก็ต้องดูให้ดีว่า ผิดหลักธรรมวินัย คุณสมบัติ เราพร้อมไปอยู่เป็นเอกเทศหรือยัง ได้ 5 พรรษาแล้วหรือยัง เพราะตามหลักว่า ต้องได้ 5 พรรษาขึ้นไป ถึงจะปลีกวิเวกได้ ถ้าเป็น 10 พรรษาจะไปอยู่เป็นเจ้าสำนัก เจ้าอะไรก็ต้องมีสัก 10 พรรษาเป็นอย่างน้อย การอยู่ปราศจากครูบาอาจารย์ ไม่มีกัลยาณมิตร ไม่มีใครห้าม ใครเตือนความคิดที่ผิดๆ ก็เสียหายต่อชีวิตได้อย่างที่เป็นข่าวในขณะนี้ 

ส่วนอีกเรื่องมีคนประกาศตนจะตั้งศาสนาใหม่ ชื่อว่า ศาสนาพุทธะธรรมชาติ เขาผู้นั้นเรียกตัวเองว่า หลวงปู่พุทธะเทพสุริยะจักรวาล แต่ดูข่าวแล้วก็นึกประหลาดจริงๆว่า คนไทยเราถึงกับบอกว่า จะยอมเปลี่ยนศาสนาไปถือศาสนาพุทธะธรรมชาติ ก็ต้องเรียกกันว่า มาแผลง มาแปลก มาแรง มาชนิดที่คนละโลกกันเลยกับสิ่งที่มีอยู่ ไม่นึกเลยว่า ชาวพุทธเราจะมาถึงจุดนี้กันได้ จะมาถึงจุดที่เรียกกันว่า เลื่อมใสศรัทธาอะไรโดยไม่ต้องที่จะพิสูจน์ความจริงให้แจ่มแจ้งก่อน 

นึกเชื่อก็เชื่อกันไปแบบชนิดที่สุดลิ่มทิ่มประตูเลย โดยเฉพาะแนวทางของนายพุทธะคนนี้ ไม่ได้เป็นพระ มีลักษณะคล้ายๆกับบวชมาจากเนปาล ทำให้นึกถึงอดีตพระยันตระ นั่นก็ไปบวชเป็นพราหมณ์มาจากเนปาลเหมือนกัน ในที่สุดก็ยังไม่รู้ว่า จะไปถึงไหน จุดไหนอย่างไร ซึ่งทำให้คนจำนวนไม่น้อยที่หลงทางไป ตอนนี้เรื่องไปสรุปตรงที่ว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ไปปฏิบัติธรรมด้วย แล้วเกิดมีท้องกัน มีลูกกัน ตอนนี้เขาก็ยังปฏิเสธคล้ายๆกันกับยันตระ  

แต่ถ้าหากว่า จบลงด้วยการตรวจดีเอ็นเอล่ะก็น่าจะไปไม่รอดเหมือนกัน ถ้าไม่จริงก็เป็นอีกแบบหนึ่งไป แต่ถ้าเกิดดีเอ็นเอตรงกันจะว่ายังไง เรื่องนี้น่าจะรีบพิสูจน์ ทองแท้ย่อมทนต่อการพิสูจน์ ถ้าหากว่า นายพุทธะ นี่ไม่ใช่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อยอะไรน่ะ นี่มาใหม่อีกคนหนึ่ง นั่นเป็นพระแต่ถูกสึกไปแล้ว แต่พุทธะคนนี้เขาอ้างว่า เขาบวชมาจากเนปาล ทีแรกห่มขาว ต่อมาก็มาห่มดำ เขาบอกห่มจีวรดำทำเคร่ง แล้วก็ทำให้คนเชื่อถือได้ 

ลักษณะยุคเกลื่อนกลาดศาสดา ใครๆก็อยากจะเป็นศาสดาใหม่ และไม่รู้ว่า จะไปถึงจุบจบ จบตรงไหนอย่างไร ก็คงจะต้องขอบอกกันว่า แล้วแต่เวร แต่กรรม ถ้าคนไทยยังเชื่อง่าย งมงาย ไม่มีเหตุผลอย่างนี้ ศรัทธากันแบบชนิดที่มาอีกแล้วๆ เลยทำให้ตอนนี้ต้องเรียกกันว่า ยุคเกลื่อนกลาดศาสนาตามที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ หรือสมเด็จประยุทธ์ ปยุตฺโต ท่านได้เขียน ได้เล่าเรื่องพรรณ์นี้ไว้มาก กรณีนั้น กรณีนี้ เช่น ไปบุกถิ่นศรีสะเกษเล่นเอาศรีสะเกษถิ่นของเราก็รู้จักกันดี สำนักสันติอโศกก็เกิดขึ้นที่นั่นก่อน แล้วก็กระจายไปทั่ว 

เรียกว่า มีหลายสาขา แต่ไม่รู้น่ะ ถ้าเทียบกันแล้วไปกันคนละโลกเลย ความมีประโยชน์ ความไม่หลอกลวง การอยู่อย่างมักน้อย สันโดษ สันติอโศกทิ้งห่าง แต่นี่เป็นลักษณะมักใหญ่ใฝ่สูง แล้วเรียกพุทธองค์ด้วย ให้คนเรียกว่า เป็นพุทธองค์ ไอ้นี่เป็นเรื่องที่เราจะสร้างอะไรก็อ้างเจ้าที่ เจ้าทาง เขาไม่ให้สร้าง ชาวบ้านเขารุมไล่กันมาทีหนึ่งแล้ว ซึ่งญาติโยมก่อนจะนับถือศรัทธาอะไรก็ต้องใคร่ครวญดูที่ไป ที่มากันบ้าง ถ้ามาในแนวแบบคล้ายๆกับเป็นชีปะขาว  

เป็น พราหมณ์ ตอนสมัยยันตระ มักจะเป็นพราหมณ์ยู่พักหนึ่ง เวลาพูดทำเสียงเป็นคนเนปาลด้วยน่ะ กว่าจะรู้ว่า เป็นคนปากพนัง คนก็เชื่อกันเต็มบ้าน เต็มเมือง กว่าจะถึงจุดจบ ญาติโยมก็สลบไสล หมดเงิน หมดทองกันไปไม่รู้เท่าไร นายพุทธะคนนี้ก็เหมือนกัน ก็มีร่องรอยชัดเจนว่า เรี่ยไร หลอกลวงเนี่ยน่าจะชัดเจนอยู่แล้ว เท่าที่เขาไปสำรวจตรวจดูหลักฐานในสมุดต่างๆนาๆ เอาล่ะ ญาติโยมอยู่กับพระรัตนตรัย อย่าแกว่ง อย่าไกวไปไหนเลย ไม่มีที่พึ่งอื่นอันจะเกษมไปกว่าพระรัตนตรัยแน่นอน 

เจริญพร 


You must be logged in to post a comment Login