วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ลูกหลานอิสราเอลยุคเร่ร่อน

On May 28, 2021

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 28 พ.ค.-4 มิ.ย. 64)

ในตอนที่แล้ว ผมได้เล่าว่ายาโกบมีลูกชายสิบสองคน แต่ละคนมีครอบครัวและแพร่ลูกออกหลานจนกลายเป็นเผ่าโดยมีลูกของเขาเป็นหัวหน้าเผ่า  แต่ละเผ่ามีจำนวนมากขึ้นจนนักวิชาการบางคนบอกว่าขณะที่อยู่ในอียิปต์ พวกลูกหลานอิสราเอลมีจำนวนหลายหมื่นคน

ลูกหลานอิสราเอลก็คือมนุษย์ที่มีทั้งดีและเลว คนที่ดีก็ดีสุดๆ ส่วนคนที่เลวก็เลวสุดๆเช่นกัน เราไม่อาจเหมารวมว่าชนชาติใดเลวทั้งหมดหรือดีทั้งหมด กรณีของลูกหลานอิสราเอลก็เช่นกัน

          คัมภีร์กุรอานเล่าให้เรารู้ว่าในขณะที่พวกลูกหลานอิสราเอลต้องระทมทุกข์เพราะตกเป็นทาสในสมัยฟาโรห์นั้น มีลูกหลานอิสราเอลที่เป็นตัวแทนของความศรัทธาในพระเจ้าอย่างแรงกล้า นั่นคือ โมเสส และตัวแทนของมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งและทะนงหลงใหลความสำเร็จทางวัตถุของตัวเองคือ กอรูน

          กอรูนเป็นญาติกับโมเสส เขามีทรัพย์สมบัติมากมาย เฉพาะกุญแจไขกำปั่นเก็บทรัพย์สมบัติของเขานั้นมีมากมายจนต้องใช้คนหนุ่มหลายคนแบก เขาร่ำรวยจากการให้กู้เงินและคิดดอกเบี้ยก่อนที่คัมภีร์โตราห์จะมีบัญญัติห้ามดอกเบี้ย

          ในขณะที่กอรูนรวยเอาๆ แต่ลูกหลานอิสราเอลส่วนใหญ่กลับลำบากยากจน โมเสสแนะนำกอรูนว่าพระเจ้าได้ประทานทรัพย์สินแก่เขามากมาย ดังนั้น เขาควรเอาความมั่งคั่งส่วนหนึ่งมาช่วยเหลือคนจน แต่กอรูนกลับทะนงว่าความมั่งคั่งที่เขาได้มานั้นเป็นเพราะความสามารถของเขา ไม่ใช่เพราะพระเจ้า คัมภีร์กุรอานเล่าว่า สุดท้ายแล้ว กอรูนได้จบชีวิตลงจากการถูกธรณีสูบไปพร้อมกับทรัพย์สินของเขา

          คัมภีร์กุรอานเล่าเรื่องของโมเสสและพวกลูกหลานอิสราเอลไว้มากมายหลายแห่งก็เพื่อเปิดเผยให้เห็นนิสัยของคนกลุ่มหนึ่งในหมู่คนพวกนี้ ในตอนที่โมเสสพาพวกลูกหลานอิสราเอลมาถึงชายฝั่งทะเลและฟาโรห์นำกองทัพไล่ตามมาจนทัน คนพวกนี้ก่นด่าโมเสสว่าไม่น่าพาพวกเขามาตาย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากการตกเป็นทาสและวิงวอนขอพระเจ้าให้ส่งคนมาช่วย

          หลังจากโมเสสพาลูกหลานอิสราเอลข้ามทะเลไปอีกฝั่งหนึ่งได้อย่างมหัศจรรย์และเดินทางร่อนเร่อยู่ในทะเลทรายได้สักพัก พอเห็นคนในท้องถิ่นกราบไหว้บูชารูปปั้น พวกลูกหลานอิสราเอลก็ขอให้โมเสสทำรูปปั้นให้พวกตนกราบไหว้บูชาทั้งๆที่เพิ่งจะเห็นอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ช่วยแหวกน้ำทะเลให้เป็นทางเดินหนีรอดจากฟาโรห์มาได้ไม่นาน แต่เมื่อโดนโมเสสประณาม คนกลุ่มนี้จึงเงียบ

          ระหว่างการอพยพเร่ร่อนในทะเลทรายที่ร้อนระอุทุรกันดาร พระเจ้าได้ให้เมฆลอยมาบังแสงแดดให้พวกลูกหลานอิสราเอล เมื่อเกิดความกระหายและร้องขอน้ำ พระเจ้าได้สั่งโมเสสให้ใช้ไม้เท้าฟาดลงไปบนหินก้อนหนึ่งซึ่งทำให้มีน้ำทะลักออกมาเป็น 12 ตาน้ำสำหรับแต่ละเผ่าเพื่อจะได้ไม่แย่งกัน  ไม่เพียงเท่านั้น พระเจ้ายังส่งอาหารพิเศษในรูปของหยดยางหวานและนกคุ่มมาให้คนพวกนี้ได้เก็บและจับกินเป็นอาหารประทังชีวิต  แต่ไม่กี่วัน คนพวกนี้ก็บ่นเบื่อและร้องขอผัก แตงกวา ถั่วและหัวหอมที่พวกตนเคยกินในอียิปต์ โมเสสจึงสวนกลับไปว่าถ้าอยากได้อาหารอย่างนั้นก็จงกลับไปอียิปต์  คนพวกนี้จึงเงียบ

          เมื่อขบวนอพยพของพวกลูกหลานอิสราเอลมาถึงเมืองหนึ่งในดินแดนที่พระเจ้าได้สัญญาไว้กับอับราฮัมบรรพบุรุษของพวกเขา โมเสสได้สั่งให้พวกเขาเข้าไปในเมืองนั้น แต่พวกลูกหลานอิสราเอลไม่กล้าเข้าไปเพราะกลัวคนในเมืองที่มีรูปร่างใหญ่กว่าพวกตน มีเพียงสองคนเท่านั้นที่อาสาจะเข้าไป ส่วนที่เหลือได้บอกให้โมเสสเข้าไปก่อน ตัวเองจะนั่งรอ ถ้าชาวเมืองนั้นยอมแพ้ พวกตนจะตามเข้าไป

          ท่าทีดื้อดึงถือดีของพวกลูกหลานอิสราเอลทำให้โมเสสเอือมระอาและทำให้คนพวกนี้ต้องเร่ร่อนไร้ที่อยู่ต่อไปจนกระทั่งถึงแผ่นดินซีนาย

          ระหว่างที่อยู่ในแผ่นดินซีนาย พระเจ้าได้เรียกโมเสสให้ขึ้นไปรับคัมภีร์โตราห์(กฎหมาย)เพื่อใช้ปกครองพวกลูกหลานอิสราเอลและเพื่อยืนยันว่าเขาเป็นศาสนทูตที่พระเจ้าให้เกิดขึ้นในหมู่พวกเขาตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับอับราฮัมที่ขอให้พระองค์ประทานตำแหน่งนบีแก่ลูกหลานของเขา ซึ่งพระเจ้าได้ตอบรับแล้วโดยการให้อิสฮาก ยาโกบและยูซุฟได้เป็นนบี ตอนนี้ โมเสสก็เป็นนบีคนหนึ่งในหมู่ลูกหลานอิสราเอล

          ก่อนขึ้นไปบนภูเขาซีนายเพื่อรับโตราห์จากพระเจ้า โมเสสได้สั่งอาโรน(ฮารูน)พี่ชายของเขาให้ควบคุมดูแลพวกลูกหลานอิสราเอลแทนเขาและกำชับว่าอย่าปล่อยให้คนพวกนี้กราบไหว้บูชาสิ่งใดนอกไปจากพระเจ้า  แต่เมื่อโมเสสขึ้นไปรับโตราห์บนภูเขาซีนายได้สี่สิบวัน พอกลับลงมา โมเสสก็พบว่าพวกลูกหลานอิสราเอลได้นำเอาโลหะมาหลอมเป็นรูปโคทองคำและกราบไหว้บูชาแทนพระเจ้ากันแล้ว 


You must be logged in to post a comment Login