- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
3 เทคนิคพิชิตเรียนออนไลน์ ฉบับพ่อแม่
คอลัมน์ : เปิดโลกสุขภาพ
ผู้เขียน : อรญา หิมกร
นักจิตวิทยา ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลพญาไท 3
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 11-18 มิ.ย. 64)
พ่อแม่หลายคนไม่มีเวลาที่จะใช้กับลูกเพียงพอ ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาที่มีอยู่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด หนึ่งในปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่พบบ่อยนั่นคือการที่ลูกไม่ฟังคำพูดที่เราสอน อยากให้คุณพ่อคุณแม่ลองกลับมาคิดทวนคือ แล้วเราที่เป็นพ่อแม่รับฟังลูกอย่างเพียงพอหรือยัง?
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ลูกต้องเรียนออนไลน์จากที่บ้าน ทำให้โอกาสในการพูดคุยกับเพื่อน ๆ ลดลงไป แทนที่ด้วยพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง ที่จะเป็น Social Support ให้ลูกในช่วงที่ต้องเรียนออนไลน์ ซึ่งหากเรายังปรับตัวกับการเรียนแบบนี้ไม่ทัน ก็อาจจะทำให้การเรียนออนไลน์ไม่เกิดประสิทธิภาพตามที่มุ่งหวัง
1. การรับฟังอย่างตั้งใจ และการพูดคุยแบบเปิด (Active-Open)
การฟัง และการพูดอาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่การฟังและการพูด คือรากฐานของความสัมพันธ์ และการสร้างความไว้วางใจระหว่างพ่อแม่และลูก
หากเราอยากให้ลูก ๆ ฟังและปฎิบัติตามสิ่งที่เราสอน ก่อนอื่นเราต้องให้ลูกรู้สึกไว้ใจ และกล้าที่จะเข้ามาพูดคุยปรึกษากับเรา การฟังลูกอย่างตั้งใจ จึงเป็นหนึ่งในวิธีที่เราสามารถแสดงออกให้ลูกรับรู้ว่าเราเข้าใจและเราพร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือลูก ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านอะไร
การฟังที่ดีนั้นคือการให้ความใส่ใจ ความสำคัญ ความเข้าใจ กับทุกการสื่อสารของลูก ไม่ว่าจะเป็น คำพูด น้ำเสียง สายตา สีหน้า หรือ ท่าทาง การฟังที่ดีนั้นไม่ใช่การฟังลูกไปดูทีวีไป อ่านไลน์เพื่อนไป ล้างจานไป เป็นต้น
ตัวอย่างคำพูดที่พ่อแม่ควรใช้
เพื่อให้โอกาสลูกในการบรรยายอารมณ์ และความรู้สึก โดยการให้ความเข้าใจ เช่น
- “ขอบคุณนะที่ไว้ใจแม่/พ่อแล้วเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง”
- “แม่/พ่อเข้าใจนะว่าเรื่องที่ลูกเจออยู่ตอนนี้มันน่าโมโหขนาดไหน”
และการใช้คำถามแบบเปิด เพื่อให้ลูก ๆ นั้นสามารถเล่าเรื่องราวของเขาได้มากขึ้น เช่น
- “แล้วตอนนั้นลูกทำไงต่อหรอ”
- “ลูกคิดว่ามีอะไรที่พ่อ/แม่ช่วยลูกได้ตอนนี้บ้าง”
- “ลูกตั้งใจจะทำอะไรต่อต่อจากนี้หรอ”
- “ลูกเจอปัญหานี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่หรอ”
- “มีใครรู้เรื่องนี้บ้างนอกจากพ่อ/แม่?”
ตัวอย่างคำพูดที่ควรระวัง!!!
- “เรื่องเล็กๆแค่นี้ ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องคิด”
- “หยุดคิดได้แล้ว”
- “ไม่เข้าใจ ร้องไห้ทำไม”
- “ไม่จริง”
- “ลูกต้องห้ามคิดแบบนั้น”
ตัวอย่างคำพูดเหล่านี้คือการปฏิเสธความรู้สึกและประสบการณ์ของเด็กซึ่งสามารถส่งผลให้เด็กไม่อยากเข้าหาหรือฟังคำสอนจากเรา
นอกจากนี้ การรับฟังอย่างตั้งใจและ การพูดคุยแบบเปิด นั้นยังสามารถปลูกฝังให้เด็กไม่เก็บกด และยังป้องกันไม่ให้เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าวและรุนแรกได้อีกด้วย เช่นเดียวกัน การฟังอย่าง Active และ การพูดคุยแบบเปิด สามารถทำให้อีก 2 วิธีที่เหลือนั้นได้ผลยิ่งขึ้น
2. การสร้างวินัยไปด้วยกัน (Routine)
เมื่อลูกต้องเรียนออนไลน์จากที่บ้าน สิ่งแรกที่พ่อแม่สามารถทำคือการสร้างสิ่งแวดล้อม (Environment) ในห้องที่ลูกใช้เรียน Online เพื่อให้ลูกมีอารมณ์ในการเรียนให้ได้มากที่สุด หนึ่งในวิธีนั้นคือการสร้างวินัย หรือ กิจวัตร (Routine) ประจำวันในแต่ละสัปดาห์นั่นเอง
งานวิจัยหลายฉบับได้พิสูจน์มาแล้วว่าเด็กๆ จะทำงานหรือกิจกรรมใดๆ ได้ดีเมื่อมีวินัยหรือ กิจวัตรที่สามารถทำตาม (Routine) และโอกาสที่เด็กๆ จะทำตาม Routine นั้นจะมีอัตราสูงขึ้นหากเด็กมีส่วนร่วมในการสร้าง Routine หรือกิจวัตรนั้น จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้การคุยแบบเปิดนั้นสำคัญมาก เพราะคุณพ่อคุณแม่จะต้องคุย และตกลงกับลูก อย่างเปิดใจว่าเวลาไหนคือเวลาที่ลูกจะไม่เล่นโทรศัพท์ ไม่เล่นเกมส์ ไม่ดู YouTube หรือดูทีวี หากลูกเชื่อว่าข้อกำหนดต่าง ๆ นั้นไม่เกินความสามารถของเขา โอกาสที่ลูกจะทำตามกฎที่เราร่วมกันสร้างก็จะสูงขึ้น
อีกสิ่งที่ควรมีในกิจวัตร คือการจัดสรรเวลา ประมาณ 10 – 15 นาที สำหรับการเตรียมความพร้อมก่อนเวลาเรียนออนไลน์ เช่น การตรวจหรือเตรียมอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ หูฟัง ที่ชาร์ต รวมไปถึงการปิดทีวี การเก็บโทรศัพท์มือถือ และการเข้าห้องน้ำ ก่อนเริ่มเรียน
สุดท้าย คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่ลืมที่จะอัพเดท กิจวัตร หรือ Routine นั้นกับลูกทุกอาทิตย์ โดยลูกควรมีส่วนร่วมในการออกความคิดเห็นหากมีอะไรยากไปหรือง่ายไป ซึ่งวิธีนี้เหมาะสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่ค่อยมี Quality time หรือช่วงเวลาคุณภาพกับลูกเพียงพอ เพราะการสร้าง Routine นี้ถือว่าเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำร่วมกับลูกได้โดยใช้เวลาไม่มากจนกระทบกับกิจกรรมอื่นของครอบครัว
3. การดูแลการเรียนของลูกอย่างมีขอบเขต (Boundary)
เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านให้ความสำคัญกับการเรียนของลูก แต่สิ่งที่เราทุกคนต้องระวังคือการไม่ฝ่าขอบเขตของลูก จนทำให้ลูกเกิดความรู้สึกว่ากำลังถูกจับผิด
ความรู้สึกของการถูกจับผิดหลายครั้งอาจทำให้เด็กรู้สึกเหมือนกำลังถูกทำโทษอยู่ เด็กบางคนอาจจะมีความรู้สึกกลัว เช่น การกลัวว่าพ่อแม่จะไม่ภูมิใจหรือกลัวว่าตัวเองจะไม่ดีพอในสายตาพ่อแม่ เมื่อความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นกับการเรียนบ่อยๆ ความพยายาม และแรงจูงใจในการเรียนของเด็กอาจจะลดลง ซึ่งไม่นานอาจจะส่งผลต่อผลการเรียนของเด็กนั้นเอง
ตัวอย่างคำพูดที่ควรระวัง!!!
- “ลูกคนอื่นไม่เห็นขี้เกียจแบบนี้”
- “ทำไมไม่ตั้งใจเรียนเหมือนเพื่อนคนนี้”
- “ก็เล่นแต่เกมส์อ่ะสิ คะแนนถึงเป็นแบบนี้”
- “ถ้าเพื่อนทำได้ดีกว่าเราก็แปลว่าเราพยายามไม่พอ”
ถึงแม้ว่าทุกการกระทำที่พ่อแม่ทำจะมาจากความเป็นห่วงลูก อยากให้ลูกได้ดี แต่เราต้องรอบคอบคำนึงถึงมุมมองของลูกเช่นกัน เพราะมีเพียงเส้นบางๆ ที่กั้นระหว่าง การที่ลูกจะมองว่า สิ่งที่เราทำ “คือความหวังดี” หรือ “คือการจับผิด” ซึ่งขึ้นอยู่กับทัศนคติ (Attitude) และวิธีการสื่อสารของคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง
You must be logged in to post a comment Login