วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

อาณาจักรอิสราเอลแตกเป็นสอง

On July 2, 2021

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 2-9 ก.ค. 64)

เมื่อกษัตริย์ดาวิดสถาปนาอาณาจักรอิสราเอลขึ้นมา พวกลูกหลานอิสราเอลที่เคยตกทุกข์ได้ยากและต้องร่อนเร่พเนจรไร้ถิ่นฐานจึงตั้งหลักแหล่งอย่างมีความสงบและมั่นคงอีกครั้งหนึ่งเหมือนเมื่อตอนที่บรรพบุรุษของตนอยู่อย่างสุขสบายในอียิปต์เมื่อครั้งโยเซฟมีอำนาจ

หลังสมัยของกษัตริย์ดาวิด  โซโลมอนได้ขึ้นมาสืบทอดอำนาจต่อและได้สร้างผลงานชิ้นหนึ่งไว้เป็นจุดศูนย์รวมทางด้านจิตวิญญาณของพวกลูกหลานอิสราเอล นั่นคือ วิหารโซโลมอนที่สร้างขึ้นในบริเวณเดียวกับที่อับราฮัมสร้างมัสยิดอัลอักซอหลังสร้างก๊ะอฺบ๊ะฮฺสี่สิบปี วิหารโซโลมอนมีความสำคัญสำหรับพวกลูกหลานอิสราเอลไม่ต่างไปจากก๊ะอฺบ๊ะฮฺที่มีความสำหรับมุสลิมทั่วโลก

ตัววิหารโซโลมอนเหนือพื้นดินเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ แต่ผู้เขียนเคยเข้าไปข้างในตัวอาคารมัสยิดอักซอหลังใหม่ที่ถูกสร้างทับลงไปบนวิหารโซโลมอนและเห็นศิลารากฐานของมัสยิดเป็นหินก้อนใหญ่สูงในราวสองเมตรด้วยตาตัวเอง  ตัวอาคารมัสยิดเป็นส่วนหนึ่งของบริเวณพื้นที่โดยรอบไม่ต่างไปจากก๊ะอฺบ๊ะฮฺเป็นส่วนหนึ่งของบริเวณรอบๆที่ถูกเรียกว่ามัสยิดอัลฮะรอม

อาคารมัสยิดอัลอักซอที่เห็นในปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเคาะลีฟะฮฺ อับดุลมาลิกแห่งราชวงศ์อุมัยยะฮฺในคริสตศตวรรษที่ 7

หลังจากกษัตริย์โซโลมอนจากไป อาณาจักรอิสราเอลที่เคยยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งเดียวได้แตกออกเป็นสองส่วนเพราะความขัดแย้งภายใน อาณาจักรตอนเหนือยังใช้ชื่ออิสราเอลมีเมืองหลวงอยู่ที่สะมาเรีย และอาณาจักรทางใต้มีชื่อว่าอาณาจักรยูดาห์โดยมีเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวง

เมื่อแตกแยกกัน ความอ่อนแอก็ตามมา ไม่นานนัก อาณาจักรอิสราเอลก็ถูกพวกแอสซีเรียโจมตีและกวาดต้อนไปเป็นทาส  หลังจากนั้น พวกบาบิโลนได้นำกองทัพมายื่นชะตากรรมเดียวกันให้แก่อาณาจักรยูดาห์  ผลของความความแตกแยกกันนี้สร้างความเสียหายให้แก่พวกลูกหลานอิสราเอลอย่างหนักเพราะวิหารโซโลมอนได้ถูกทำลายจนไม่เหลือซาก

เมื่อกษัตริย์ไซรัสแห่งอาณาจักรเปอร์เซียขึ้นมามีอำนาจและปราบอาณาจักรแอซซีเรียและบาบิโลนได้  กษัตริย์ไซรัสได้ปล่อยพวกลูกหลานอิสราเอลให้เป็นอิสระ ดังนั้น พวกลูกหลานอิสราเอลจึงอพยพกลับไปยังเยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่งและได้สร้างวิหารหลังใหม่ขึ้นมาแทนวิหารโซโลมอนเพื่อเป็นศูนย์รวมทางด้านจิตวิญญาณของพวกตน

นอกจากสร้างวิหารหลังใหม่ขึ้นมาแล้ว เอซราซึ่งเป็นนักบวชคนหนึ่งได้พยายามรวบรวมคำสอนของโมเสสที่หายสาบสูญไปขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งจากคำบอกเล่าของคนแก่ที่พอจะจำความได้ ความพยายามของเอซราทำให้พวกลูกหลานอิสราเอลส่วนหนึ่งซาบซึ้งและนับถือเขาดุจดังบุตรของพระเจ้า

เมื่อสร้างวิหารและมีคัมภีร์ทางศาสนาแล้ว พวกลูกหลานอิสราเอลได้แต่งตั้งผู้รู้คำสอนศาสนา เช่นนักบวชหรือธรรมาจารย์ให้ทำหน้าที่ดูแลวิหาร  บุคลากรประจำวิหารเหล่านี้จึงเป็นที่นับถือของผู้คน ในช่วงเวลานี้เองที่พระเจ้าได้เลือกสรรพวกลูกหลานอิสราเอลบางคน เช่น อิสยาห์ เยเรมีอาห์ เศคาริยาห์(ซะกะรียา)มาทำหน้าที่ตักเตือนสั่งสอนพวกลูกหลานอิสราเอลให้อยู่ในแนวทางที่พระองค์ได้เคยประทานมาก่อนหน้านี้ แต่เศคาริยาห์เป็นผู้ที่คัมภีร์กุรอานกล่าวถึงมากที่สุด

เศคารียาห์เป็นคนดีมีคุณธรรมและอยู่ในวัยชราโดยที่ไม่มีบุตรและภรรยาของเขาเป็นหมัน แต่เมื่อเขาเห็นพฤติกรรมผิดศีลธรรมของพวกลูกหลานอิสราเอลที่ไม่เชื่อฟังเขา  เขาจึงเป็นห่วงว่าหากเขาตายจากโลกนี้ไป หากไม่มีใครมาทำหน้าที่ในการตักเตือนให้คนทำดีและละทิ้งความชั่ว  พระเจ้าจะลงโทษคนในสังคมทั้งหมดเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต  ดังนั้น ขณะที่อยู่ตามลำพังในวิหาร เขาจึงวิงวอนต่อพระเจ้าให้ประทานบุตรแก่เขาสักคนหนึ่งเพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ต่อจากเขาเหมือนกับที่อับราฮัมบรรพบุรุษของเขาเคยวิงวอนขอต่อพระเจ้า

ไม่นานนัก พระเจ้าได้ตอบรับคำวิงวอนของเขาโดยการให้เขามีลูกชายคนหนึ่งชื่อยะฮฺยาหรือยอห์น แบพติสต์  แต่น่าเสียดายที่ทั้งสองพ่อลูกคนดีนี้ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ


You must be logged in to post a comment Login