- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
มายาดอลล่าร์สหรัฐ
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 1-8 ต.ค. 64)
โลกใช้เหรียญกษาปณ์ทองคำและเงินเป็นสิ่งแทนค่าและสื่อกลางในการซื้อขายมานานนับพันปีและไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ ถ้าใครไม่มีเหรียญกษาปณ์ก็สามารถเอาสินค้ามาแลกเปลี่ยนกัน
แม้ปัญหาเรื่องเงินเฟ้อไม่มี แต่ก็มีปัญหาเรื่องการสะสมทองคำในมือของคนกลุ่มน้อยซึ่งทำให้เศรษฐกิจไม่หมุนเวียนและการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบจากการให้กู้ยืมทองคำและคิดดอกเบี้ย ศาสนาจึงแนะนำให้มีการจ่ายทานและสั่งห้ามเรื่องดอกเบี้ยในคัมภีร์ไบเบิลตั้งแต่สมัยโมเสสและพระเยซูมายืนยัน หลังจากนั้น คัมภีร์กุรอานได้ถูกส่งมายืนยันการสั่งห้ามดอกเบี้ยอีกครั้งหนึ่ง
ในความเข้าใจของคนทั่วไป ดอกเบี้ยคือส่วนที่เกินจากเงินต้นในสัญญากู้ยืมที่ลูกหนี้ต้องจ่ายให้เจ้าของเงิน แต่นบีมุฮัมมัด ในฐานะเป็นพ่อค้าที่ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินๆทองๆและมองเห็นการณ์ไกล ท่านได้วางหลักเรื่องการเงินไว้ว่า “อย่าขายทองเพื่อทองเว้นเสียแต่ว่ามันจะหนักเท่ากัน และอย่าขายเงินเพื่อเงินเว้นเสียว่ามันจะหนักเท่ากัน แต่ท่านสามารถขายทองเพื่อเปลี่ยนเป็นเงิน หรือขายเงินเปลี่ยนเป็นทองได้ถ้าต้องการ”
พูดง่ายๆก็คือ ทองกับทองแลกกันต้องน้ำหนักเท่ากันและส่งมอบกันทันที แต่ทองกับเงินเป็นโลหะคนละสกุล สามารถแลกเปลี่ยนกันโดยมีน้ำหนักต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้แลกเปลี่ยน
หลังโลกเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม มนุษย์เริ่มผลิตสินค้าได้จำนวนมากและต้องระบายสินค้าออกไปขายทั่วโลก พ่อค้าในยุโรปโดยเฉพาะอังกฤษ ต้องการเงินทุน จึงจำเป็นต้องกู้เงิน แต่คัมภีร์ไบเบิลห้ามดอกเบี้ยซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า usury คำนี้หมายถึงดอกเบี้ยที่นายทุนเรียกเก็บจากคนจนในอัตราสูงเพราะความเสี่ยงสูงในการได้เงินคืน
ผิดกับพวกพ่อค้าที่มีความสามารถในการจ่ายเงินคืน นายทุนจึงคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ พวกพ่อค้าและนายทุนจึงขอให้โป๊ปอนุมัติการกู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยต่ำแก่พ่อค้า แต่โป๊ปเห็นว่าดอกเบี้ยจะสูงหรือจะต่ำก็คือดอกเบี้ย จึงไม่อนุมัติ แต่การค้าต้องดำเนินต่อไป พวกนายทุนและนักธุรกิจจึงไม่ฟังโป๊ปและทำธุรกิจกู้ยืมโดยเรียกดอกเบี้ยในคำสมัยใหม่ว่า interest นับแต่นั้นมา พวกนักธุรกิจตะวันตกก็ไม่เชื่อฟังโป๊ปอีกเลยและดอกเบี้ยได้กลายเป็นหัวใจของระบบการเงินสมัยใหม่
การค้าระหว่างประเทศในยุคหลังปฏิวัติอุตสาหกรรมใช้เงินปอนด์สเตอร์ลิงเป็นสื่อในการแลกเปลี่ยน แต่เมื่อสหรัฐอเมริกาเป็นชาติมหาอำนาจและมั่งคั่งขึ้นมาจากการขายอาวุธให้ประเทศยุโรปรบกันในสงครามโลกทั้งสองครั้ง สหรัฐอเมริกาก็กลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่ผู้คนอยากคบค้าด้วย ดอลลาร์สหรัฐจึงเข้ามาเป็นสกุลเงินสากลของโลกแทนเงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ
เมื่อการค้าต้องใช้ทองคำเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน การจ่ายค่าสินค้าเป็นทองคำจึงเป็นเรื่องลำบาก เวลานั้น อเมริกามีทองคำสำรองสองในสามของโลก ตัวแทนจาก 44 ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปจึงมาประชุมกันที่เมืองเบรตตัน วูด รัฐนิวแฮมพ์ไชร์ สหรัฐอเมริกาเพื่อทำความตกลงเรื่องจะใช้เงินสกุลอะไรในการทำการค้าระหว่างประเทศ
หลังจากประชุมกันอยู่หลายวัน ที่ประชุมได้ตกลงใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐและได้มีการกำหนดมาตรฐานอัตราแลกเปลี่ยนทองคำหนึ่งออนซ์เท่ากับ 35 ดอลลาร์สหรัฐโดยธนาคารกลางของสหรัฐฯเป็นผู้ได้อภิสิทธิ์ในการพิมพ์ธนบัตร นั่นหมายความว่า หากชาติใดต้องการธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐก็ต้องส่งทองคำไปแลกเปลี่ยนและใครมีธนบัตรดอลลาร์สหรัฐ 35 ดอลลาร์ก็สามารถนำไปแลกทองคำได้หนึ่งออนซ์กลับคืนมาได้
หลังจากนั้นไม่นาน ธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐได้ถูกธนาคารกลางสหรัฐ(ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้เป็นของรัฐบาลสหรัฐฯ แต่เป็นของกลุ่มนายธนาคารจากยุโรป)แอบพิมพ์เพิ่มขึ้นมาเกินกว่าทองคำสำรองที่ได้ตกลงกันไว้ การจะแลกทองคำหนึ่งออนซ์ด้วยเงิน 35 ดอลล่าร์สหรัฐจึงทำไม่ได้อีกต่อไป ต้องใช้เงินดอลล่าร์ฯมากกว่านั้น คนทั่วไปจึงดูว่าทองคำมีราคาแพง แต่อันที่จริงแล้ว ทองคำไม่ได้มีราคาแพงขึ้น แต่สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐต่างหากที่มีค่าน้อยลงเพราะถูกพิมพ์ออกมามาก
ยิ่งในปี ค.ศ.1971 เมื่อประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสันได้ออกประกาศว่าสหรัฐอเมริกาจะออกธนบัตรโดยไม่อาศัยทองคำสำรองอีกต่อไปแล้วและไม่อนุญาตให้เอาดอลล่าร์มาแลกทองคำกลับคืน นับแต่นั้นมา ประเทศต่างๆที่ส่งทองคำไปสำรองที่สหรัฐฯจึงรู้ว่าทองคำของตัวเองถูกปล้นแล้ว
You must be logged in to post a comment Login