- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
สายกลางคือทางรอด
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
ในอดีต คำสอนของศาสนาเคยทำหน้าที่เป็นกฎหมายจัดระเบียบสังคมก่อนที่โลกของเราจะมีรัฐบาลหรือรัฐสภามาร่างรัฐธรรมนูญและออกกฎหมายจัดระเบียบสังคม เนื่องจากคำสอนของศาสนามาจากพระเจ้าผู้สร้างจักรวาลและทุกสิ่งรวมทั้งมนุษย์ด้วย ดังนั้น คำสอนของศาสนาจึงไม่ขัดกับธรรมชาติ
ความจริงแล้ว ศาสนาก็คือกฎหมายนั่นเอง แต่กฎหมายที่อยู่ในศาสนาแตกต่างไปจากกฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้น กฎหมายศาสนาที่มาจากพระเจ้าจะควบมนุษย์ทั้งสองด้าน คือด้านจิตวิญญาณและด้านพฤติกรรมภายนอก แต่กฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่คำนึงถึงด้านจิตวิญญาณที่มีความเชื่อในพระเจ้า การลงโทษหลังความตายและการปฏิบัติพิธีกรรมรวมอยู่ด้วยเพื่อรักษาความเชื่อไว้คอยเตือนมนุษย์มิให้ทำผิด
การปฏิบัติตามกฎหมายสองประเภทจึงมีผลแตกต่างกัน ผู้ปฏิบัติตามกฎหมายศาสนาจะไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุขที่เป็นสาเหตุแห่งความเสื่อมเพราะความเกรงกลัวการถูกลงโทษในโลกหน้าโดยไม่ต้องมีอำนาจรัฐคอยควบคุม แต่กฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้นกลับส่งเสริมให้มีอบายมุขเพียงเพื่อได้เงินเข้ารัฐและเข้ากระเป๋านักธุรกิจอบายมุขโดยไม่คำนึงถึงความเสื่อมทรามของสังคม
ในสังคมที่ปกครองด้วยกฎหมายสมัยใหม่ ศาสนากลายเป็นแค่ความเชื่อและพิธีกรรมส่วนบุคคลที่ใครจะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ แต่ในบางสังคม การปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาเป็นที่ต้องห้าม อย่างไรก็ตาม จนทุกวันนี้ยังมีผู้คนที่มีความเชื่อและปฏิบัติตามกฎหมายทางศาสนาอยู่
กฎหมายศาสนาเริ่มสูญเสียบทบาทในการจัดระเบียบสังคมเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นในคริสตจักรระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับนักบวชที่ทำหน้าที่เหมือนผู้รักษากฎหมาย เมื่อฝ่ายโปรเตสแตนต์ที่แยกตัวออกจากอำนาจการปกครองของพระสันตะปาปาและเจริญก้าวหน้าหลังยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ คนรุ่นใหม่จึงเริ่มคิดว่าศาสนาไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว ความคิดเช่นนี้เองที่ก่อให้เกิดลัทธิเซคิวลาร์(Secularism)ขึ้นมา ลัทธินี้ถือว่ามนุษย์จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องอยู่ในกรอบคำสอนของศาสนา
ดังนั้น เมื่อมนุษย์คิดจะทำอะไรก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการ ลัทธิเซคิวลาร์จึงก่อให้เกิดความสุดโต่งทางความคิดและการปฏิบัติที่ต่างกัน เช่น มนุษย์กลุ่มหนึ่งคิดว่าทรัพยากรบนโลกใบนี้เป็นของมนุษย์ มือใครยาวสาวได้สาวเอา นี่คือต้นกำเนิดความคิดของลัทธิทุนนิยมที่เปิดโอกาสให้คนรวยเอาเปรียบคนจน
เมื่อคนยากจนที่มีจำนวนมากขึ้นเกิดความไม่พอใจ จึงมีคนนำเสนอความคิดว่าทรัพยากรบนโลกใบนี้เป็นของมนุษย์ทุกคน ดังนั้น ทรัพยากรจะต้องถูกนำมาจัดแบ่งให้คนในสังคมอย่างเท่าเทียมกันและไม่อนุญาตให้ใครมีกรรมสิทธิ์ นี่คือที่มาของลัทธิคอมมิวนิสต์
ลัทธิทุนนิยมและลัทธิคอมมิวนิสต์จึงเปรียบเสมือนกับสองด้านที่ตรงข้ามกันของเหรียญเซคิวลาร์ เมื่อคิดต่างกัน การปฏิบัติก็ต่างกัน ผลที่ตามมาก็คือโลกได้เห็นการทำสงครามของสองลัทธินี้นานนับหลายสิบปีโดยที่ผู้คนในสังคมทั้งสองฝ่ายต้องล้มตายนับสิบล้านคนจากทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกขุดคุ้ยไปผลิตเป็นอาวุธสงครามแทนที่จะนำไปใช้เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์
แต่ความคิดทางเศรษฐกิจของอิสลามถือว่าทรัพยากรไม่ได้เป็นของมนุษย์ เพราะมนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้างทรัพยากร แต่ทรัพยากรเป็นของพระเจ้าที่พระองค์มอบให้มนุษย์นำมาใช้เพื่อสร้างความเจริญและนำไปแลกเปลี่ยนหรือแบ่งปันระหว่างมนุษย์ที่พระเจ้าสร้างมาให้มีฐานะและความสามารถที่แตกต่างกัน
แนวความคิดทางเศรษฐกิจของอิสลามอนุญาตให้มนุษย์มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน แต่เมื่อมนุษย์มีทรัพย์สินถึงขีดที่อิสลามถือว่ามีความมั่งคั่ง อิสลามจะกำหนดให้ผู้มีความมั่งคั่งต้องจ่ายทรัพย์สินจำนวนหนึ่งเป็นซะกาต(หรือภาษีทางศาสนา)ถวายพระเจ้าโดยนำซะกาตนั้นไปให้คนยากจนเพื่อยึดโยงคนรวยกับคนจนไว้มิให้ห่างกัน
ปัจจุบัน การต่อสู้ของสองลัทธิสุดโต่งทำให้ลัทธิคอมมิวนิสต์ล่มสลายไปแล้ว คงเหลือแต่ลัทธิทุนนิยมที่ครองโลกอยู่และมนุษย์คิดว่าลัทธิทุนนิยมคือทางรอด แต่ในตอนนี้ โลกเริ่มเห็นพิษภัยของลัทธิทุนนิยมแล้วจากการที่สาวกของลัทธินี้ทำกิจกรรมที่ละเมิดขอบเขตกฎหมายทางศาสนาได้อย่างเสรี
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่ามนุษย์ในลัทธิทุนนิยมมองเห็นพิษภัยของการละเมิดขอบเขตกฎศาสนาหรือไม่และจะหันกลับมาสู่ขอบเขตทางศีลธรรมบนทางสายกลางอย่างไร
You must be logged in to post a comment Login