- อย่าไปอินPosted 3 days ago
- ปีดับคนดังPosted 4 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 5 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 6 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 7 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
KTIS มั่นใจผลการดำเนินงานปีนี้ดีกว่าปีก่อน แจงไตรมาสแรกตัวเลขยังไม่สะท้อนภาพธุรกิจ
กลุ่ม KTIS ชี้ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 65 (ต.ค.-ธ.ค.64) ยังไม่สามารถสะท้อนภาพธุรกิจทั้งปี เพราะเพิ่งเปิดหีบอ้อยในช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นปลายไตรมาสแล้ว ผลผลิตน้ำตาลยังอยู่ในกระบวนการผลิต แต่รับรู้ต้นทุนค่าอ้อยที่สูงขึ้นไปแล้ว อีกทั้งผลพลอยได้จากการหีบอ้อย อย่างชานอ้อยและโมลาส ก็ยังไม่ได้ถูกส่งต่อไปยังสายธุรกิจต่อเนื่องอย่างเต็มที่ การรับรู้รายได้ของสายธุรกิจต่างๆ จึงยังน้อย มั่นใจไตรมาสถัดๆ ไป ผลการดำเนินงานจะดีขึ้น เพราะปีนี้มีผลผลิตอ้อยและน้ำตาลมากขึ้น ราคาน้ำตาลตลาดโลกก็อยู่ในระดับที่สูงกว่าปีก่อน ส่วนสายธุรกิจชีวภาพ ทั้งไฟฟ้า เยื่อกระดาษ และเอทานอล ก็มีวัตถุดิบป้อนเข้าโรงงานมากขึ้น จึงคาดว่าจะมียอดขายเติบโตขึ้นทุกสายธุรกิจ
นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร กล่าวถึงทิศทางธุรกิจในปี 2565 ว่า ในสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย จะได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกที่เคลื่อนไหวในระดับที่สูงกว่าปีก่อน อีกทั้งผลผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายก็มีมากกว่าปีก่อนด้วย จึงมั่นใจว่ารายได้ในสายธุรกิจน้ำตาลจะเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน
สำหรับสายธุรกิจชีวภาพ ในปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากปริมาณวัตถุดิบที่มีน้อยเนื่องจากปัญหาภัยแล้ง แต่ปีนี้มีผลผลิตอ้อยมากขึ้น ทำให้ได้โมลาสสำหรับผลิตเอทานอลมากขึ้น และได้ชานอ้อยที่ป้อนให้กับโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวล และโรงงานผลิตเยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อยมากขึ้น โดยที่ราคาขายไฟฟ้า เอทานอล และเยื่อกระดาษ ก็คาดว่าจะเป็นราคาที่ดีตลอดทั้งปี ดังนั้น ผลการดำเนินงานในสายธุรกิจชีวภาพในปีนี้ก็จะเติบโตขึ้นจากปีก่อนด้วย
“เราไม่ได้กังวลกับงบไตรมาสแรกของปี 2565 (ตุลาคม – ธันวาคม 2564) เพราะทราบดีว่า มีต้นทุนค่าอ้อยที่สูงขึ้น จาก 920 บาทต่อตันอ้อย ที่ค่าความหวาน 10 ซี.ซี.เอส. สูงขึ้นเป็น 1,070 บาทต่อตันอ้อย แต่การเปิดหีบอ้อยเพิ่งเริ่มต้นในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงปลายไตรมาสแล้ว ผลผลิตน้ำตาลยังอยู่ในกระบวนการผลิต อีกทั้งวัตถุดิบที่ป้อนให้กับธุรกิจต่อเนื่องคือโรงไฟฟ้าและโรงผลิตเยื่อกระดาษ ก็ยังไม่เต็มที่ ดังนั้น ตัวเลขของไตรมาสแรกจึงยังไม่ได้สะท้อนภาพรวมธุรกิจทั้งปี แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติของการรับรู้รายได้ที่เพิ่มมากขึ้นพร้อมๆ กับการควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือ จึงมั่นใจว่า หลังจากที่ผ่านจุดต่ำสุดของปีนี้ไปแล้วในไตรมาสแรก ผลการดำเนินงานทั้งปี 2565 จะสูงกว่าปี 2564 อย่างแน่นอน” นายสมชายกล่าว
ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าวด้วยว่า โครงการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อย ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงถึง 50 ตันต่อวัน หรือประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อวัน โดยมีเครื่องจักร 50 เครื่อง ที่สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยออกสู่ตลาดได้หลากหลายรูปแบบ เช่น จาน ชาม กล่อง ถาดหลุม เป็นต้น ก็จะเริ่มสร้างรายได้ในกลางปี 2565 นี้ ซึ่งมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะสอดคล้องกับเทรนด์ของโลก นอกจากนี้ โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC) ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท จีจีซี เคทิสไบโออินดัสเทรียล จำกัด หรือ GKBI บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม KTIS และกลุ่ม ปตท. ก็จะทยอยสร้างรายได้ตามส่วนแบ่งของบริษัทฯ เข้ามาอีกด้วย
You must be logged in to post a comment Login