วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ซาตานของผม: ถอดบทเรียนธุรกิจ

On March 1, 2022

คอลัมน์ :โลกอสังหาฯ

ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย    

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 1 มี.ค.  65)

เมื่อไม่นานมานี้ ผมเขียนเรื่อง Saint ของผม (https://bit.ly/3rK1By8) ซึ่งก็คือเรื่องของผู้มีพระคุณที่เสมือนดั่ง “นักบุญ” หรือ Saint ในศาสนาคริสต์  แม้ผมจะไม่ได้เป็นชาวคริสต์ แต่ก็ขอยกคำนี้มาเป็นสรรเสริญความดีของผู้มีคุณของผม  คราวนี้เลยเขียนในทางตรงกันข้ามบ้าง คือเขียนถึงซาตานที่คอยให้ร้าย ซึ่งในธุรกิจต่างๆ ก็จะมีบุคคลประเภทนี้ ที่เราต้องระวัง และไม่หวั่นไหวบนหนทางธุรกิจ แต่การกล่าวถึงซาตานที่ยังมีชีวิตอยู่ คงไม่สามารถเอ่ยนามได้ แต่เป็นข้อคิด เป็นอุทาหรณ์เท่านั้น

นายจ้างเก่าคนหนึ่ง ผมเคยมีนายจ้างเก่าอยู่คนหนึ่งซึ่งเป็นเพลบอยเก่าแต่มีมาดเป็นนักวิชาการ มีอีโก้สูง  ผมก็ทำงานให้อย่างเต็มที่  แต่สังเกตได้ว่านายจ้างที่ไม่ดี มักจะจ่ายน้อยหรือให้ไม่คุ้มกับแรงงานที่เราเสียไป  ผมก็เลยออกมาตั้งบริษัทของตัวเอง แต่ด้วยสปิริต ก็เลยไม่ทำงานแข่งกับกิจการของนายจ้างเดิม ผมเน้นสำรวจวิจัยอสังหาริมทรัพย์ เป็นสำคัญ ต่อเมื่อกิจการของนายจ้างเลิกไป ผมจึงค่อยทำในสิ่งที่นายจ้างทำบ้าง  ผมถือคติ ไม่ไปหักหลังทรยศใคร

แต่นายจ้างเก่า เป็นคนที่ใช้เงินมือเติบ บางทีก็มายืมเงินผมครั้งและแสนสองแสนทั้งที่ดูเป็นคนร่ำรวยเป็นอย่างมาก  ผมก็ยินดีให้ยืมเสมอ  แต่ท่านกลับผูกใจเจ็บเพราะผมประเมินค่าที่ดินให้ท่านต่ำกว่าที่ท่านคาดหวังไว้สูงเกินจริงมากทั้งที่ผมทำอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นมาท่านจึงพูดจาให้ร้ายผมต่างๆ นานา เช่น ล่าสุดไปโพนทะนาว่าผมเคยไปเป็นแฟนกับลูกสาวของเขาและทิ้งไป ทั้งที่เขาไม่มีลูกสาว  ผมรู้เพราะลูกค้าที่เชื่อถือเล่าให้ฟัง

ถ้าเราเจอคนแบบนี้ เราไม่พึงตอบโต้ใดๆ เพราะจะกลายเป็นทะเลาะกัน อันที่จริงก่อนที่ผมจะมีกิจการของตนเอง ผมเสาะแสวงหานายจ้างดีๆ มานาน จนครั้งหนึ่งพบแล้ว แต่สายไปหน่อย เพราะผมเริ่มทำกิจการของตนเองเสียแล้ว หาไม่ผมคงได้ดีกับหน่วยงานดีๆ ได้

อาจารย์อาวุโสในมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ท่านเป็น Mr.Yes ปากหวาน ผมยกย่องท่านผู้นี้มากว่าเป็น “ผู้นำขบวน” ในวงวิชาการอสังหาริมทรัพย์คนสำคัญคนหนึ่ง ผมก็ให้เกียรติเสมอมา ไปบรรยายในหลักสูตรต่างๆ ให้ เพราะผมเองก็ผูกพันกับมหาวิทยาลัยแห่งดังกล่าวในฐานะที่ทำงานเก่า  ท่านใช้ชื่อเสียงของสถาบันมาทำมาหากินส่วนตัวต่างๆ นานา แต่ผมไม่ชอบวิธีการทำงานแบบนี้

ในการให้ความรู้แก่ผู้สนใจด้านอสังหาริมทรัพย์ ผมตั้งโรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยไม่ไปเกาะกับสถาบันใดๆ  ถือเป็นกิจการบริการการศึกษา ท่านคงกลับเห็นว่าผมเป็น “คู่แข่ง” ก็เลยไม่ค่อยพอใจ ประจวบกับมีช่วง “สงครามสี” ท่านก็อยู่สีที่เชียร์รัฐประหาร ท่านเลยป้ายสีว่าผมเป็นที่ปรึกษา “พรรคเพื่อไทย” ทั้งที่ผมไม่เคยเป็นสมาชิกหรือไปข้องแวะกับพรรคการเมืองใดๆ เลย แม้จะมีหลายพรรคมาชวนเข้าร่วมก็ตาม

 การป้ายสีแบบนี้อาจทำให้ผมได้รับผลกระทบสูญเสียลูกค้าไปบางส่วน แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ จะไปแก้ตัวอะไรก็คงไม่เหมาะสม  การทำธุรกิจก็อาจต้องพบกับเรื่องนินทาว่าร้ายบ้าง เราไม่พึงใส่ใจ แต่ควรจะคิดพัฒนากิจการมากกว่า

ผู้บริหารหน่วยงานขนาดใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านผู้นี้เป็นถึงเบอร์หนึ่งของหน่วยงานดังกล่าว เคยให้ความกรุณาผมประหนึ่ง Saint เช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ ท่านมีลักษณะ “ศักดินา” เจ้ายศเจ้าอย่าง แต่ผมก็เป็นคนพินอบพิเทา ไม่ไปถือสา หรือไม่มีฟอร์มมากอยู่แล้ว  ผมถือว่าถ้าผมอยู่กับหัวหน้าหรือนายจ้าง แล้วพวกเลขาฯ กลับไปหมดแล้ว ผมก็ยินดีที่จะช่วยชงกาแฟให้แขกแทนอยู่แล้ว

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมพบกับท่านโดยบังเอิญหลังจากท่านเกษียณอายุราชการไปแล้ว ท่านและศรีภริยาของท่านถามผมว่าบริษัทยังอยู่ไหม ในทำนองว่ายังไม่เจ๊งหรือ  ที่ท่านมีทัศนคติเปลี่ยนไปเนื่องจากว่าผมไปประเมินค่าทรัพย์สินให้กับท่านในราคาหนึ่ง แต่ท่านไปซื้อในราคาที่สูงกว่าเกือบเท่าตัว จึงโดนเด้งไป ท่านเข้าใจว่าผมเป็นต้นเหตุ ทั้งที่ผมประเมินค่าให้ท่านไปก่อนที่ท่านจะตัดสินใจซื้อตั้งหลายเดือน  ท่านคงไปก่นด่าผมให้คนอื่นฟังมากมายมาโดยตลอด

 การทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจผู้บริหาร อาจได้รับผลร้าย ท่านก็อาจสั่งลูกน้องที่ยังอยู่ว่าไม่ให้ใช้บริการของผมอีกต่อไป  แต่เราก็ต้องหาทางหางานที่อื่นทำเพื่อชดเชยรายได้ที่สูญเสียไป หาตลาดใหม่ๆ โดยเป็นตัวของตัวเอง

สื่อมวลชนใหญ่ ท่านผู้นี้คิดการใหญ่ว่าจะนำกิจการเข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็นสื่อมวลชนที่วางตัว “กร่าง” มากๆ โดยเฉพาะในยุคที่หนังสือพิมพ์ และวารสารในด้านอสังหาริมทรัพย์ยังขายดี ยังมีโฆษณาอย่างเนืองแน่น  กิจการประเมินค่าทรัพย์สิน-สำรวจวิจัยอสังหาริมทรัพย์ของผมเป็นสิ่งที่ท่านผู้นี้มองไม่ขึ้นเลย ไม่น่าจะมีอนาคต เพราะท่านคิดอย่างเดียวว่าตนเข้าตลาดฯ แต่ไม่สำเร็จ ตอนนี้เลยกลายเป็นแค่มือปืนรับจ้างถือกิจการสื่อให้กับนักการเมือง

ท่านผู้นี้ก็เคยถามผมเหมือนกันว่าบริษัทยังอยู่อีกหรือ เข้าทำนอง “คิดว่าเจ๊งไปแล้ว” ข้อคิดที่ผมได้จากการนี้ก็คือ ในการทำกิจการใดๆ เราไม่ควรดูแคลนกิจการอื่นๆ หรือมีอีโก้สูงจนเกินไป  ในยุคสมัยก่อนที่สื่อกำลังเฟื่อง สื่อซึ่งโดยนัยหนึ่งก็คือกระบอกเสียงในการโฆษณาชวนเชื่อของนายทุนกลุ่มต่างๆ ก็มีความกร่างเป็นอย่างมาก ทำให้จมไม่ลง สื่อเหล่านี้ไม่สามารถแยกดีชั่วได้ ขอแต่ให้ได้เงินเป็นใช้ได้

กรณีศึกษาทั้ง 4 ข้างต้นนี้ เป็นเรื่องที่เรา-ท่านในฐานะที่ทำธุรกิจต้องไม่ไปใส่ใจมากนัก เพราะเสียเวลา อาจเป็นเสมือน “มารผจญ” บ้าง เราต้องมุ่งพัฒนางานของเรามากกว่าที่จะไปข้องแวะกับการใส่ร้ายป้ายสี  เราพึงถือคติว่า ถ้าเราถูกคนที่แก่กว่าด่าว่า ก็ถือเป็นการให้พร ถ้าถูกคู่แข่งด่าว่าก็ให้รู้ว่าเพราะเขาอิจฉาเรา แสดงว่าเรามาถูกทางแล้ว ขอเพียงไม่ถูกเด็กๆ ด่าทั่วสารทิศ เพราะนั่นแสดงว่าเราอัปยศจริงๆ เด็กจึง “ถอนหงอก” เราได้

โปรดทราบว่า ซาตาน คือเครื่องชูกำลังสำหรับเราในการทำธุรกิจ


You must be logged in to post a comment Login