- อย่าไปอินPosted 4 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 23 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
กลุ่ม KTIS เผยปัจจัยบวกหลายเด้งปี 65 ค่าเงินบาทอ่อน ปริมาณอ้อยพุ่ง 44% ราคาขายเพิ่ม
กลุ่ม KTIS เปิดข้อมูลหีบอ้อยของ 3 โรงงาน ได้อ้อยเข้าหีบ 6.2 ล้านตัน สูงกว่าปีก่อนถึง 44.2% ซึ่งเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ และได้น้ำตาลรวม 6.3 ล้านกระสอบ สูงกว่าปีก่อน 34% ประกอบกับราคาขายน้ำตาลและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่สูงกว่าปีก่อน อีกทั้งค่าเงินบาทอ่อนส่งผลดีต่อผลิตภัณฑ์ส่งออก จะส่งผลให้ผลการดำเนินงานปี 2565 ดีกว่าปี 2564 อย่างมีนัยสำคัญ
นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เปิดเผยว่า จากการรวบรวมข้อมูลผลผลิตอ้อยของกลุ่ม KTIS สำหรับฤดูการผลิตปี 2564/65 ณ วันที่ 18 เมษายน 2565 พบว่า ผลผลิตอ้อยของทั้ง 3 โรงงาน คือ โรงงานน้ำตาล KTIS โรงงานน้ำตาล KTIS สาขา 3 จ.นครสวรรค์ และโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ จ.อุตรดิตถ์ มีอ้อยเข้าหีบแล้ว รวม 6.2 ล้านตัน ซึ่งสูงกว่าปีก่อนประมาณ 44.2% และผลิตน้ำตาลได้แล้ว 6.3 ล้านกระสอบ สูงกว่าปีก่อน 34.0%
“อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลดีกับผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS คือ ค่าเงินบาทที่อ่อนลงมาก จะส่งผลดีกับสินค้าส่งออก ทั้งน้ำตาลทราย เยื่อกระดาษชานอ้อย และบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อย เพราะสินค้าเหล่านี้มีสัดส่วนการส่งออกมากกว่าที่ขายในประเทศ”
นายณัฎฐปัญญ์ กล่าวด้วยว่า ฤดูหีบปีก่อน กลุ่ม KTIS มีอ้อยเข้าหีบเพียง 4.3 ล้านตัน เท่ากับว่าปีนี้ปริมาณอ้อยเพิ่มขึ้นถึง 1.9 ล้านตัน ถือว่าเกินกว่าที่คาดหมายไว้ เพราะเดิมคาดว่าจะได้อ้อยเพิ่มแค่ 20-25% การที่ได้อ้อยเพิ่มอย่างมาก นั่นหมายความว่า วัตถุดิบที่จะส่งเข้าสู่โรงงานต่างๆ ทั้งโมลาสที่เข้าสู่โรงงานผลิต เอทานอล ชานอ้อยสำหรับผลิตเยื่อกระดาษชานอ้อยและผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง รวมถึงโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวล ก็จะมีมากขึ้นด้วย อีกทั้งราคาขายของแต่ละผลิตภัณฑ์ในปีนี้ก็สูงกว่าปีก่อน จึงส่งผลให้ยอดขายในทุกสายผลิตภัณฑ์ในปีนี้จะสูงกว่าปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ” นายณัฎฐปัญญ์กล่าว
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าวย้ำว่า โครงการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อย ซึ่งมีกำลังการผลิต 50 ตันต่อวัน หรือประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อวัน ซึ่งจะผลิตสินค้าออกสู่ตลาดและเริ่มรับรู้รายได้ประมาณเดือนมิถุนายน 2565 นี้ก็จะได้รับผลดีจากปริมาณอ้อยที่เพิ่มขึ้นด้วย จะสามารถเดินเครื่องผลิตได้เต็มที่เพราะมีวัตถุดิบปริมาณมากเพียงพอ
You must be logged in to post a comment Login