วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

พระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งโลก

On August 26, 2022

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่   26  ส.ค. 65)

ถ้าชายคนหนึ่งตัดสินใจแต่งงานและสร้างบ้านเพื่อสมาชิกในครอบครัว  เขาต้องรู้โดยสัญชาติญาณว่าเขาจะมีหน้าที่และความรับผิดชอบติดตามมา  เพราะหลังแต่งงาน  มันเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบชอบ

เชาในการหาปัจจัยเลี้ยงดูภรรยาและปกป้องสมาชิกในครอบครัว  เมื่อเขามีหน้าที่และต้องรับผิดชอบ  เขาจึงต้องได้รับสิทธิในการเชื่อฟังเพื่อที่ครอบครัวจะอยู่อย่างสงบและร่มเย็นเป็นสุข  ถ้าสมาชิกในครอบครัวของเขาถูกรังแก  เขามีหน้าที่ต้องปกป้องคุ้มครองคนในครอบครัวของเขา

หน้าที่นี้เป็นหน้าที่ของ “พ่อบ้าน”  ในภาษาอาหรับเรียกผู้ทำหน้าที่นี้ว่า “ร็อบบุลบัยต์”

หน้าที่นี้เป็นตัวอย่างที่สื่อให้เห็นหน้าที่และความรับผิดชอบของพระเจ้าผู้สร้างครอบครัวจักรวาลที่ประกอบด้วยดาวนับแสนล้านดวงซึ่งในจำนวนนี้มีโลกเราเป็นดาวเล็กๆดวงหนึ่ง  ดังนั้น พระเจ้าจึงประกาศว่าพระองค์เป็น “ร็อบบุล อาละมีน” หรือ “ผู้อภิบาลโลกทั้งหลาย” ที่พระองค์ทรงสร้างมา  ดังนั้น พระองค์จึงมีหน้าที่จัดเตรียมปัจจัยยังชีพและให้ความคุ้มครองสิ่งที่พระองค์สร้างมา

ความเสียหาย  ความปั่นป่วนวุ่นวายและความอธรรมที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์บางกลุ่มตั้งตัวเป็นใหญ่และถือว่าตัวเองเป็นพระเจ้าที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ  ไม่ต่างอะไรไปจากฟาโรห์ในอียิปต์เมื่อหลายพันปีก่อนที่หลงลืมตัวเองจนลืมพระเจ้าที่แท้จริง

บางคนอาจคิดว่าพระเจ้าสร้างจักรวาลขึ้นมาอย่างไร้วัตถุประสงค์และปล่อยให้สรรพสิ่งเป็นไปตามยถากรรมโดยพระองค์ไม่ได้เหลียวและหรือทำหน้าที่ “พระผู้อภิบาลแห่งโลกทั้งหลาย” อีกแล้ว  คนที่คิดเช่นนี้จึงย่ามใจข่มเหงรังแกมนุษย์ผู้อ่อนแอที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา

การที่ความไม่เป็นธรรม  ความปั่นป่วนวุ่นวายเสียหายยังคงเกิดขึ้นมิได้หมายความว่าพระเจ้าทอดทิ้งมนุษย์   แต่พระองค์มีแบบแผนในการจัดการกับมนุษย์  ไม่ต่างไปจากตำรวจที่ปล่อยให้คนร้ายชะล่าใจสะสมอาชญากรรมจนถูกลงโทษอย่างสาสมและขณะเดียวกันก็เพื่อดูว่าผู้ถูกกดขี่ยังศรัทธาพระองค์หรือไม่

หากศึกษาประวัติศาสตร์ในอดีตที่ผ่านมา  พระเจ้าจะให้บางชุมชนหรือบางชนชาติมีความมั่งคั่งรุ่งเรืองและมีอำนาจทางวัตถุ  แต่ผู้นำของชนชาตินั้นเกิดความย่ามใจจนละเมิดขอบเขตศีลธรรมและกดขี่ข่มเหงคนอ่อนแอ  ดังนั้น พระเจ้าจึงคัดเลือกคนในชนชาตินั้นขึ้นมาตักเตือน แต่ผู้ตักเตือนนั้นกลับถูกต่อต้านและไม่ได้รับการเชื่อฟัง  ด้วยเหตุนี้  พระเจ้าจึงได้ประทานปาฏิหาริย์หรือสิ่งมหัศจรรย์ให้แก่ผู้ตักเตือนเพื่อให้ผู้ก่อความเสียหายได้ตรึกตรองและกลับใจ  แต่เมื่อเห็นอำนาจเหนือธรรมชาติด้วยตาตัวเองแล้ว ผู้มีอำนาจที่อธรรมไม่ยอมกลับใจและยังฝ่าฝืน  การทำลายล้างก็ตาม

กรณีของฟาโรห์กับโมเสสเป็นตัวอย่างแบบแผนของพระเจ้าในการทำลายฟาโรห์และอาณาจักรไอยคุปต์อันยิ่งใหญ่ในอดีต

ปัจจุบัน ไม่มีนบีที่พระเจ้าส่งมาตักเตือนมนุษย์อีกแล้ว เพราะนบีคนสุดท้ายที่พระองค์ส่งมาตักเตือนมนุษย์คือนบีมุฮัมมัดที่จากโลกนี้ไปเมื่อ 1,400 กว่าปีก่อน  แต่คำตักเตือนของท่านและนบีคนอื่นๆยังคงมีอยู่  นอกจากนี้ ความสำนึกผิดชอบชั่วดีที่พระเจ้าปลูกฝังไว้ในตัวมนุษย์ก็พอที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรดีและอะไรชั่ว  หากมนุษย์ยังฝ่าฝืนกฎทางศีลธรรมของพระเจ้า  ความหายนะก็จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

บางที ภาวะภัยแล้ง  อุทกภัยรุนแรง  ไฟไหม้ป่า  คลื่นความร้อน  พายุรุนแรงและหายนะภัยอื่นๆที่เกิดขึ้นในส่วนต่างๆของโลกอาจเป็นสัญญาณเตือนจากพระเจ้าก่อนที่พระองค์จะทำลายล้างชนชาติหรือมหาอำนาจที่อหังการหรืออาจทำลายโลกที่แก่ชราและเต็มไปด้วยโรคใบนี้ทั้งหมดก็ได้


You must be logged in to post a comment Login