- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
พระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งโลก
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 26 ส.ค. 65)
ถ้าชายคนหนึ่งตัดสินใจแต่งงานและสร้างบ้านเพื่อสมาชิกในครอบครัว เขาต้องรู้โดยสัญชาติญาณว่าเขาจะมีหน้าที่และความรับผิดชอบติดตามมา เพราะหลังแต่งงาน มันเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบชอบ
เชาในการหาปัจจัยเลี้ยงดูภรรยาและปกป้องสมาชิกในครอบครัว เมื่อเขามีหน้าที่และต้องรับผิดชอบ เขาจึงต้องได้รับสิทธิในการเชื่อฟังเพื่อที่ครอบครัวจะอยู่อย่างสงบและร่มเย็นเป็นสุข ถ้าสมาชิกในครอบครัวของเขาถูกรังแก เขามีหน้าที่ต้องปกป้องคุ้มครองคนในครอบครัวของเขา
หน้าที่นี้เป็นหน้าที่ของ “พ่อบ้าน” ในภาษาอาหรับเรียกผู้ทำหน้าที่นี้ว่า “ร็อบบุลบัยต์”
หน้าที่นี้เป็นตัวอย่างที่สื่อให้เห็นหน้าที่และความรับผิดชอบของพระเจ้าผู้สร้างครอบครัวจักรวาลที่ประกอบด้วยดาวนับแสนล้านดวงซึ่งในจำนวนนี้มีโลกเราเป็นดาวเล็กๆดวงหนึ่ง ดังนั้น พระเจ้าจึงประกาศว่าพระองค์เป็น “ร็อบบุล อาละมีน” หรือ “ผู้อภิบาลโลกทั้งหลาย” ที่พระองค์ทรงสร้างมา ดังนั้น พระองค์จึงมีหน้าที่จัดเตรียมปัจจัยยังชีพและให้ความคุ้มครองสิ่งที่พระองค์สร้างมา
ความเสียหาย ความปั่นป่วนวุ่นวายและความอธรรมที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์บางกลุ่มตั้งตัวเป็นใหญ่และถือว่าตัวเองเป็นพระเจ้าที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ไม่ต่างอะไรไปจากฟาโรห์ในอียิปต์เมื่อหลายพันปีก่อนที่หลงลืมตัวเองจนลืมพระเจ้าที่แท้จริง
บางคนอาจคิดว่าพระเจ้าสร้างจักรวาลขึ้นมาอย่างไร้วัตถุประสงค์และปล่อยให้สรรพสิ่งเป็นไปตามยถากรรมโดยพระองค์ไม่ได้เหลียวและหรือทำหน้าที่ “พระผู้อภิบาลแห่งโลกทั้งหลาย” อีกแล้ว คนที่คิดเช่นนี้จึงย่ามใจข่มเหงรังแกมนุษย์ผู้อ่อนแอที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา
การที่ความไม่เป็นธรรม ความปั่นป่วนวุ่นวายเสียหายยังคงเกิดขึ้นมิได้หมายความว่าพระเจ้าทอดทิ้งมนุษย์ แต่พระองค์มีแบบแผนในการจัดการกับมนุษย์ ไม่ต่างไปจากตำรวจที่ปล่อยให้คนร้ายชะล่าใจสะสมอาชญากรรมจนถูกลงโทษอย่างสาสมและขณะเดียวกันก็เพื่อดูว่าผู้ถูกกดขี่ยังศรัทธาพระองค์หรือไม่
หากศึกษาประวัติศาสตร์ในอดีตที่ผ่านมา พระเจ้าจะให้บางชุมชนหรือบางชนชาติมีความมั่งคั่งรุ่งเรืองและมีอำนาจทางวัตถุ แต่ผู้นำของชนชาตินั้นเกิดความย่ามใจจนละเมิดขอบเขตศีลธรรมและกดขี่ข่มเหงคนอ่อนแอ ดังนั้น พระเจ้าจึงคัดเลือกคนในชนชาตินั้นขึ้นมาตักเตือน แต่ผู้ตักเตือนนั้นกลับถูกต่อต้านและไม่ได้รับการเชื่อฟัง ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้ประทานปาฏิหาริย์หรือสิ่งมหัศจรรย์ให้แก่ผู้ตักเตือนเพื่อให้ผู้ก่อความเสียหายได้ตรึกตรองและกลับใจ แต่เมื่อเห็นอำนาจเหนือธรรมชาติด้วยตาตัวเองแล้ว ผู้มีอำนาจที่อธรรมไม่ยอมกลับใจและยังฝ่าฝืน การทำลายล้างก็ตาม
กรณีของฟาโรห์กับโมเสสเป็นตัวอย่างแบบแผนของพระเจ้าในการทำลายฟาโรห์และอาณาจักรไอยคุปต์อันยิ่งใหญ่ในอดีต
ปัจจุบัน ไม่มีนบีที่พระเจ้าส่งมาตักเตือนมนุษย์อีกแล้ว เพราะนบีคนสุดท้ายที่พระองค์ส่งมาตักเตือนมนุษย์คือนบีมุฮัมมัดที่จากโลกนี้ไปเมื่อ 1,400 กว่าปีก่อน แต่คำตักเตือนของท่านและนบีคนอื่นๆยังคงมีอยู่ นอกจากนี้ ความสำนึกผิดชอบชั่วดีที่พระเจ้าปลูกฝังไว้ในตัวมนุษย์ก็พอที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรดีและอะไรชั่ว หากมนุษย์ยังฝ่าฝืนกฎทางศีลธรรมของพระเจ้า ความหายนะก็จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บางที ภาวะภัยแล้ง อุทกภัยรุนแรง ไฟไหม้ป่า คลื่นความร้อน พายุรุนแรงและหายนะภัยอื่นๆที่เกิดขึ้นในส่วนต่างๆของโลกอาจเป็นสัญญาณเตือนจากพระเจ้าก่อนที่พระองค์จะทำลายล้างชนชาติหรือมหาอำนาจที่อหังการหรืออาจทำลายโลกที่แก่ชราและเต็มไปด้วยโรคใบนี้ทั้งหมดก็ได้
You must be logged in to post a comment Login