- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
อิทธิพลของความเชื่อต่อวัฒนธรรม
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 23 ก.ย. 65)
จำได้แม่นว่าขณะเป็นนักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในเดือนเมษายน พ.ศ.2514 ระหว่างปิดภาคเรียน ผมได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปทำงานค่ายอาสาพัฒนาของสมาคมนิสิตนักศึกษาไทยมุสลิมเป็นครั้งแรกที่หมู่บ้านเจ๊ะเด็ง ต.โละจูด อ.แว้ง จ.นราธิวาส ค่ายของสมาคมฯมีงานก่อสร้างถาวรวัตถุหลายโครงการ หนึ่งในนั้นคือการสร้างห้องส้วมสาธารณะสามห้องให้หมู่บ้าน
ปีต่อมา เมื่อกลับไปสำรวจผลงานค่ายที่ทำไว้ เราพบว่าห้องส้วมที่สร้างไว้ยังคงใหม่เหมือนเดิม ไม่มีสิ่งบ่งบอกให้เห็นถึงการใช้งาน ผมจึงนึกถึงคำบรรยายสรุปความเป็นอยู่ของผู้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสซึ่งบอกว่าชาวบ้านที่นี่ไม่ใช้ส้วมเพราะถือว่าการขี้ทับกันเป็นบาป
ความเชื่อเช่นนี้เป็นความเชื่อของศาสนาฮินดูที่แผ่ขยายอิทธิพลฝังแน่นอยู่ในดินแดนอุษาคเนย์มาเป็นเวลานานหลายร้อยปีก่อนที่ศาสนาพุทธ ศาสนาคริส์และอิสลามจะมาถึง
แม้ชาวไทยเชื้อสายมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะหันมารับนับถืออิสลามหลายร้อยปีแล้ว แต่อิทธิพลความเชื่อของศาสนาฮินดูที่ฝังรากแน่นมานานยังคงตกค้างให้เห็นทั้งๆที่พฤติกรรมทางความเชื่อเช่นนี้ไม่มีอยู่ในคำสอนของอิสลาม หรือแม้แต่ในศาสนาพุทธและคริสต์
ในอินโดนีเซียทุกวันนี้ยังมีภาพคนนั่งถ่ายอุจจาระลงคลองให้เห็นเหมือนกับชาวอินเดียที่นั่งอุจจาระข้างถนนโดยหันหน้าเข้าหาผู้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างไม่เคอะเขิน
ตอนไปทำงานค่ายอาสาพัฒนา เราคิดว่าถาวรวัตถุจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนได้ แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด การจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนต้องเปลี่ยนที่ความเชื่อซึ่งต้องใช้การศึกษาและเวลาควบคู่กัน ตอนนี้ ผมคิดว่าสภาพดังกล่าวคงหมดไปจากท้องที่ชายแดนภาคใต้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังมีพิธีกรรมทางความเชื่ออีกหลายอย่างที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลทางความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่ตกทอดมาสู่สังคมไทยทั้งชาวพุทธและมุสลิม เช่น การทำบุญส่งวิญญาณคนตาย การทำบุญสามวัน เจ็ดวัน สี่สิบวันเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ พิธีกรรมเหล่านี้เป็นที่ปฏิบัติกันมาในสังคมที่ผู้คนนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
พิธีกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าคนในอดีตมีความเชื่อในเรื่องการมีอยู่ของวิญญาณ แต่เพราะความไม่รู้และความไม่เข้าใจเรื่องวิญญาณและโลกหลังความตาย ชาวฮินดูในอดีตจึงเชื่อว่าวิญญาณของคนตายยังคงเวียนว่ายอยู่ในโลกนี้และจะกลับมายังครอบครัวในวันนั้นวันนี้ จึงมีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปไม่มีความรู้ แต่ยังมีความเชื่อ จึงต้องให้คนที่ได้รับการนับถือว่าเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณมาทำให้
ดังที่กล่าวไว้ในตอนต้น พุทธศาสนาและอิสลามมาหลังศาสนาฮินดู ชาวพุทธบางคนที่ไม่มีความรู้พอจึงคล้อยตามและปฏิบัติตามความเชื่อของชาวฮินดู แต่อิสลามมาถึงอุษาคเนย์หลังสุดและหลักคำสอนของอิสลามประกาศชัดเจนว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวที่มนุษย์ทุกคนสามารถวิงวอนต่อพระองค์ได้โดยตรง ไม่ต้องผ่าน “สื่อกลาง” ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าไม่ว่าสื่อกลางนั้นจะเป็นมนุษย์ด้วยกันหรือวัตถุบูชา
แม้สภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะแก่งมากมายหลายพันเกาะทำให้การเผยแผ่คำสอนอิสลามไปไม่ทั่วถึง แต่ถึงกระนั้น มุสลิมในอุษาคเนย์ส่วนใหญ่ก็เลิกกราบไหว้บูชาหรือวิงวอนต่อรูปเคารพและหันมาใช้ภาษาอาหรับจากคัมภีร์กุรอานในการทำพิธีที่เรียกกันว่า “ทำบุญคนตาย” แทนภาษาสันสกฤตที่นักบวชฮินดูใช้สวดกัน
ประเพณีทำบุญคนตายสามวันเจ็ดวันแม้ไม่มีในคำสอนของอิสลาม แต่ประเพณีนี้มีส่วนในการรวมตัวและช่วยสร้างความเหนียวแน่นให้แก่สังคมที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ห่างกัน แต่ที่แน่ๆก็คือ ถึงแม้การทำบุญคนตายจะไม่มีในแบบอย่างของนบีมุฮัมมัด แต่มันก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าสังคมมุสลิมเลิกกราบไหว้รูปเคารพที่บรรพบุรุษของตัวเองเคยทำกันและหันมาวิงวอนต่ออัลลอฮฺพระเจ้าองค์เดียวซึ่งถือว่าเป็นหลักศรัทธาสำคัญของอิสลาม
You must be logged in to post a comment Login