- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
สัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ของศาสดา
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 21 ต.ค. 65)
ไม่มีชาวยิว ชาวคริสเตียนและชาวมุสลิมคนใดไม่รู้จักโมเสส เพราะชื่อและเรื่องราวของโมเสสถูกกล่าวไว้ทั้งในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอาน อย่าว่าแต่ศาสนิกของทั้งสามศาสนาเลย แม้แต่ศาสนิกอื่นก็ยังรู้จักโมเสสจากภาพยนตร์เรื่องบัญญัติสิบประการที่ลงทุนสร้างอย่างยิ่งใหญ่และนำออกฉายทั่วโลก
บัญญัติสิบประการเป็นสาระสำคัญของ “โตราห์” (กฎหมาย)ที่พระเจ้าประทานแก่โมเสสเพื่อนำไปใช้ในการปกครองพวกลูกหลานอิสราเอลที่ร่อนเร่อยู่ในทะเลทรายซีนายหลังโมเสสพาอพยพออกมาจากการถูกปกครองอย่างกดขี่ของฟาโรห์แห่งอียิปต์
หลังสมัยโมเสส พวกลูกหลานอิสราเอลถูกชนเผ่าต่างๆรุกรานขับไล่ บันทึกโตราห์ดั้งเดิมได้สูญหายไป พระเจ้าจึงส่งเยซัสไครสต์มาพร้อมกับคัมภีร์ที่ยืนยันธรรมบัญญัติเดิมหรือโตราห์ของโมเสส คัมภีร์กุรอานเรียกคัมภีร์ที่พระเจ้าประทานแก่เยซัสไครสต์ว่า “อินญีล” (Gospel)
ปัจจุบัน ธรรมบัญญัติบางส่วนของโตราห์และอินญีลยังคงมีให้เห็นได้ในพันธสัญญาเก่าและพันธสัญญาใหม่ของคัมภีร์ไบเบิล
ก่อนโมเสสขึ้นไปรับคัมภีร์โตราห์บนภูเขาซีนาย เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตของพระเจ้าที่หุบเขาตุวาที่เชิงเขาฏูรฺเมื่อเขาเดินทางกลับอียิปต์หลังจากหนีไปหลบภัยที่ดินแดนของชาวมัดยันเป็นเวลากว่าสิบปี
เมื่อได้รับการแต่งตั้งแล้ว พระเจ้าได้มอบหมายภารกิจใหญ่ให้เขาสองประการ นั่นคือ 1) ไปบอกฟาโรห์ให้เลิกตั้งตัวเป็นพระเจ้าและหันมาเคารพสักการะพระเจ้าที่แท้จริง 2) ช่วยเหลือพวกลูกหลานอิสราเอลที่ถูกฟาโรห์กดขี่ลงเป็นทาส
ภารกิจที่พระเจ้ามอบให้โมเสสนั้นยิ่งใหญ่และเขารู้จุดอ่อนของตัวเองดี นั่นคือ เขาไม่มีแสนยานุภาพทางทหารหนุนหลัง พระเจ้าจึงสัญญาว่าพระองค์จะคอยช่วยเหลือเขา แต่เขาก็รู้ว่าตัวเองยังมีจุดอ่อนอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ เขาเป็นคนพูดตะกุกตะกัก เขาจึงขอพระเจ้าให้แต่งตั้งอาโรน(หรือฮารูน)พี่ชายของเขาเป็นผู้ช่วย และพระเจ้าได้ตอบรับคำขอของเขา
มีคำบอกเล่าว่าโมเสสพูดตะกุกตะกักมาตั้งแต่เล็ก สาเหตุก็คือ โมเสสเกิดในปีที่ฟาโรห์สั่งให้ฆ่าเด็กทุกคนที่เกิดจากพ่อแม่ชาวอิสราเอล เพราะเขาฝันว่าจะมีเด็กคนหนึ่งจากลูกหลานอิสราเอลมาโค่นอำนาจเขาและโหรได้แนะนำให้เขาฆ่าทารกของพวกอิสราเอลทุกคนที่เกิดในปีนั้น
แต่โมเสสได้รับความคุ้มครองจากพระเจ้าให้รอดจากการถูกฆ่า เพราะแม่ของเขาได้นำเขาใส่กล่องไปลอยในแม่น้ำ ต่อมา ภรรยาของฟาโรห์ได้พบทารกมูซาในกล่องที่ลอยน้ำมาและนำเขาเข้าไปเลี้ยงในวังของฟาโรห์โดยที่ฟาโรห์ไม่เต็มใจ
เมื่อทารกโมเสสโตขึ้นเป็นเด็ก ฟาโรห์ได้เข้าไปกอดโมเสสเพื่อเล่นกับเขา แต่เขากลับถูกทารกโมเสสตบหน้าและเอาไม้ตีหัวของเขา ฟาโรห์จึงเกิดความระแวงขึ้นมาและคิดจะฆ่าทารกโมเสส แต่นางอาซียะฮฺภรรยาของฟาโรห์แก้ต่างให้ว่าโมเสสยังเป็นเด็กไร้เดียงสาและทำไปโดยไม่มีเจตนา เมื่อฟาโรห์ยังมีท่าทีสงสัย นางจึงหาทางที่จะแสดงให้ฟาโรห์เห็นว่าเด็กไม่ประสีประสาจริงๆ
นางสั่งให้บริวารเอาถ้วยมาสองใบ ใบหนึ่งใส่ถ่านไฟที่กำลังร้อน อีกใบหนึ่งใส่หินหลากสีเพื่อให้เด็กเลือก ปรากฎว่าทารกโมเสสหยิบถ่านไฟที่กำลังร้อนใส่ปากและโดนลิ้นของเขา และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาพูดจาตะกุกตะกักมาตั้งแต่เด็ก
เรื่องราวตอนนี้เป็นเพียงตำนานคำบอกเล่า ไม่ได้มีกล่าวไว้ในคัมภีร์กุรอาน แต่เรื่องราวที่โมเสสขอให้พระเจ้าแต่งตั้งใครสักคนช่วยเขาปฏิบัติภารกิจได้ถูกเล่าในคัมภีร์กุรอานที่พระเจ้าประทานแก่นบีมุฮัมมัด ในตอนนั้น นบีมุฮัมมัดเพิ่งเริ่มเผยแผ่อิสลามและถูกต่อต้านจากหัวหน้าชาวเมืองมักก๊ะฮฺอย่างหนักและท่านรู้สึกว่าต้องการคนช่วยเหลือ
เมื่อพระเจ้าประทานเรื่องราวของโมเสสมา นบีมุฮัมมัดจึงขอต่อพระเจ้าให้เลือกคนหนึ่งคนใดในสองคนที่ท่านต้องการให้มาเป็นผู้ช่วยปฏิบัติภารกิจ พระเจ้าได้เลือกอุมัรฺให้ท่านโดยพลิกผันหัวใจของเขาให้มาเข้ารับอิสลาม และต่อมา อุมัรฺได้เป็นกำลังสำคัญของนบีมุฮัมมัดในการทำให้อิสลามมีความเข้มแข็งและแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง
You must be logged in to post a comment Login