วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ดอกเบี้ย สงครามกับพระเจ้า

On October 28, 2022

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่   28 ต.ค.  65)

ในคัมภีร์กุรอานมีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า “บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงเกรงกลัวพระเจ้าและจงละทิ้งดอกเบี้ยในส่วนที่สูเจ้ายังอาจได้รับถ้าหากสูเจ้าเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง  แต่ถ้าหากสูเจ้าไม่ทำเช่นนั้น จงรู้ไว้ว่าสูเจ้ากำลังทำสงครามกับพระเจ้าและศาสนทูตของพระองค์” (กุรอาน 2:278-279)

ดอกเบี้ยเป็นที่ต้องห้ามตั้งแต่สมัยโมเสสและได้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลฉบับพันธสัญญาเก่า หลังจากนั้น  เยซัสไครสต์ได้มายืนยันธรรมบัญญัติเดิมของโมเสส  ดังนั้น ชาวยิวและชาวคริสเตียนจึงถูกห้ามเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ย 

หลังสมัยเยซัสไครสต์  กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยยังเป็นที่ปฏิบัติโดยนายทุนเงินกู้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวยิว  นบีมุฮัมมัดจึงได้มายืนยันธรรมบัญญัติเดิมที่พระเจ้าประทานแก่โมเสสและเยซัสไครสต์

เดิมที  ดอกเบี้ยอัตราขูดรีดที่เรียกเก็บจากคนจนถูกเรียกในภาษาอังกฤษว่า usury เพราะนายทุนเงินกู้มีความเสี่ยงสูงในการที่จะไม่ได้เงินต้นคืน  แต่เมื่อโลกเจริญขึ้น พ่อค้าและนักธุรกิจมีความสามารถในการส่งเงินต้นคืน  อัตราดอกเบี้ยจึงต่ำลงเพราะนายทุนเงินกู้มีความเสี่ยงน้อย  ดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากนักธุรกิจจึงถูกเรียกว่า interest

ทั้ง usury และ interest  ถูกเรียกในภาษาอาหรับว่า “ริบา” ซึ่งหมายถึง “ส่วนเกิน”  ในทางการเงินมันหมายถึงส่วนที่เกินจากเงินต้นที่กู้ยืม  ในการค้าขายสินค้า  น้ำที่ถูกเติมไปในน้ำนมเพื่อให้มีประมาณมากขึ้นหรือน้ำที่ฉีดเข้าไปในเนื้อไก่เพื่อให้มีน้ำหนักมากขึ้นก็คือ “ริบา” นั่นเอง

พระเจ้าเป็นผู้ทรงยุติธรรมและพระองค์ต้องการให้คุณสมบัติแห่งความยุติธรรมปรากฎขึ้นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในทุกด้านเพื่อความสงบและความเจริญของมนุษย์เอง  ดังนั้น พระเจ้าจึงห้าม “ริบา” เพราะมันเป็นความไม่ยุติธรรม

แต่ “ริบา” มีรูปแบบและวิธีการที่หลากหลาย  หนึ่งในนั้นคือการแลกเปลี่ยนสิ่งที่เหมือนกันโดยมีน้ำหนักหรือจำนวนที่ต่างกัน  นบีมุฮัมมัดจึงกล่าวว่า “ทองกับทองแลกกันต้องน้ำหนักเท่ากัน เงินกับเงินแลกกันต้องน้ำหนักเท่ากันและแลกเปลี่ยนกันทันที” ดังนั้น ส่วนเกินที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนสิ่งของที่เหมือนกันจึงถูกเรียกว่า “ริบา”

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง  การค้าขายระหว่างประเทศเริ่มเจริญและขยายตัว  ประเทศต่างๆจึงต้องการสกุลเงินที่ทุกประเทศยอมรับ  ทุกประเทศจึงตกลงที่จะใช้เงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯเพื่อความสะดวกในการแทนมูลค่าและการโอนชำระเงิน  ดังนั้น ประเทศต่างๆจึงไปประชุมกันที่เมืองเบรตตันวูด รัฐนิวแฮมป์ไชร์ในสหรัฐอเมริกาและตกลงกันว่าจะให้ทองคำ 1 ออนซ์มีมูลค่าเท่ากับ 35 ดอลล่าร์สหรัฐ

หลังจากนั้น  โดยข้อตกลงนี้  ใครหรือประเทศใดที่ต้องการเงินดอลล่าร์สหรัฐก็ต้องนำทองคำ 1 ออนซ์ไปฝากไว้ที่ธนาคาร เฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ของสหรัฐอเมริกาที่ได้รับอภิสิทธิ์ทางกฎหมายในการพิมพ์ธนบัตร  แต่เฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ไม่ใช่ธนาคารกลางของรัฐบาลสหรัฐฯ  หากแต่เป็นของกลุ่มนายทุนและนายธนาคารจากประเทศยุโรปที่รวมหัวกันไปตั้งขึ้นในสหรัฐฯและนายทุนเหล่านี้เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของรัฐบาลหลายประเทศในยุโรป รวมทั้งสหรัฐอเมริกาด้วย เพราะรัฐบาลสหรัฐฯเองก็กู้เงินจากธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟในการทำสงครามและโครงการใหญ่ๆ

หลังจากทำข้อตกลงกันแล้ว  ปรากฏว่าธนาคาร เฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ได้แอบพิมพ์ธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐเพิ่มเติมจากที่ตกลงกันไว้  ธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐที่เพิ่มขึ้นมาจึงเป็น “ริบา” ที่เกิดจากการแลกเปลี่ยน  ดังนั้น เมื่อเวลาผ่านไป  ใครจะเอา 35 ดอลล่าร์สหรัฐไปแลกทองคำ 1 ออนซ์กลับมาจึงทำไม่ได้เพราะธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐมีมากกว่าทองคำ  ในที่สุด ในปี 1972 รัฐบาลสหรัฐฯก็ประกาศห้ามนำเงินดอลล่าร์สหรัฐมาแลกทองคำและประกาศพิมพ์ดอลล่าร์ออกมาโดยไม่ต้องอาศัยทองคำหนุนหลัง

นี่คือการปล้นทองจากประเทศต่างๆทั่วโลกโดยนายธนาคารอาศัยผู้นำประเทศมหาอำนาจเป็นเครื่องมือ และเป็นต้นเหตุที่ทำให้ดอลล่าร์สหรัฐกลายเป็นกระดาษชำระก้นแทนชำระหนี้และถูกประเทศต่างๆปฏิเสธ

จอห์น เอฟ. เคนเนดี เป็นชาวแคธอลิกที่เคร่งครัดในศาสนาคริสต์  เมื่อเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ  เขาต้องการที่จะให้กระทรวงการคลังของรัฐบาลสหรัฐเป็นผู้จัดพิมพ์ธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐเองและได้ลงนามในคำสั่งบริหารแล้ว  แต่ยังไม่ทันลงมือทำ  เขาก็ถูกลอบสังหารเสียก่อน เพราะความริเริ่มของเขาเป็นการขัดขวางอำนาจการยึดครองของดอลล่าร์สหรัฐที่พิมพ์โดยเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ

จึงไม่แปลกอะไรที่รัฐบาลสหรัฐฯจะไม่พอใจผู้นำรัสเซีย ผู้นำจีนและผู้นำประเทศอื่นๆที่คิดจะเลิกใช้ดอลล่าร์สหรัฐ  นายธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ผู้มีอำนาจที่แท้จริงจึงผลักดันรัฐบาลสหรัฐฯและรัฐบาลประเทศต่างๆในยุโรปที่เป็นลูกหนี้ตนให้หาทางกำจัดรัสเซียและจีนที่มีแสนยานุภาพทางทหารและมีอาวุธนิวเคลียร์

ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆรัก โลภ โกรธ หลง   ถ้ามหาเศรษฐีบูชาเงินเป็นพระเจ้าและคิดจะทำลายคู่แข่ง  สงครามกับพระเจ้าคงเป็นสิ่งที่หลีกหนีไม่พ้น แต่พระเจ้าไม่ได้ลงมาทำสงครามกับมนุษย์ด้วยพระองค์เอง  พระองค์จะให้มนุษย์นั่นแหละเป็นผู้ทำกันเอง


You must be logged in to post a comment Login