วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2568

ประท้วง … ประท้วง … ประท้วง! การต่อสู้ของประชาชนบนถนน

On November 19, 2022

บทความพิเศษโดย… ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

กล่าวนำ

การลุกขึ้นสู้ของประชาชน (popular uprising) ในรูปแบบของ “การประท้วงใหญ่” มักจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในระบบการเมืองของหลายประเทศที่เป็นอำนาจนิยม และอาจถือเป็นวิกฤตทางการเมืองหนึ่งที่รัฐบาลเผด็จการต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย เพราะรัฐบาลเผด็จการมักมีปัญหาความชอบธรรมในตัวเอง ทั้งในเงื่อนไขของการได้มาซึ่งอำนาจรัฐ และการดำรงอยู่ของตัวรัฐบาลเอง ซึ่งปัญหาความชอบธรรมของรัฐบาลเช่นนี้คือต้นทางของการประท้วงทางการเมือง แต่ในบางกรณีการชุมนุมใหญ่บนถนนอาจเกิดขึ้นในรัฐที่ไม่ใช่อำนาจนิยม  หากการชุมนุมเช่นนี้คือ “การสื่อสารทางการเมือง” จากประชาชนผู้ร่วมชุมนุมไปถึงทั้งรัฐและสังคมถึงประเด็นและข้อเรียกร้องของพวกเขา

ถ้าการประท้วงใหญ่ในรัฐอำนาจนิยมเดินไปถึงจุดที่ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว ภาวะที่เกิดขึ้นจะเป็นเสมือนกับ “การเติมเชื้อไฟ” อย่างดีให้แก่การกำเนิดของ “กบฏภายใน” และหากการต่อต้านรัฐบาลเช่นนี้เดินไปมากขึ้นจนสุดทางด้วยความรุนแรงแล้ว สิ่งที่จะเกิดตามมาคือสถานการณ์ “สงครามกลางเมือง” … สถานการณ์สงครามกลางเมืองซีเรียในปัจจุบันจึงเป็นคำเตือนที่ดีในเรื่องนี้

ดังนั้น หากพิจารณาจากบริบททางประวัติศาสตร์แล้ว เราอาจสรุปได้ด้วยข้อสังเกตประการหนึ่งว่า การประท้วงขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นคือการส่งสัญญาณถึงความต้องการของภาคประชาสังคมที่ใช้วิธีการกดดันในรูปแบบของการประท้วงเพื่อให้รัฐดำเนินการปฏิรูปทางการเมือง โดยเฉพาะการเปิดการเมืองให้มีสิทธิเสรีภาพมากขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นในภาวะเช่นนี้คือการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐในการควบคุมและ/หรือสลายการชุมนุม ในทำนองเดียวกัน ผู้ประท้วงบนถนนเองก็พร้อมที่จะใช้ความรุนแรงตอบโต้ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ปฏิเสธไม่ได้ในภาวะ “การเผชิญหน้าบนถนน”

การประท้วงใหญ่ที่มักจะมีความรุนแรงเป็นองค์ประกอบจึงเป็นดังจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางการเมือง โดยไม่มีความจำเป็นต้องคำนึงว่าการประท้วงเช่นนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ซึ่งการที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลสามารถรวมคนจำนวนมากจนทำให้เกิดการประท้วงขนาดใหญ่ได้นั้น ย่อมเป็นเส้นเวลาการเมืองที่สำคัญของสังคมนั้นๆ แม้อาจจะไม่ประสบชัยชนะในการโค่นล้มระบอบเดิมที่เป็นอำนาจนิยม เช่น การลุกขึ้นสู้ของคนหนุ่มสาวที่กรุงปรากในปี 1968 หรือที่ปักกิ่งในปี 1989 หรือที่ฮ่องกงในปี 2014 และในปี 2019

แน่นอนว่าในบางกรณีอาจไม่ใช่การชุมนุมประท้วงใหญ่ต่อต้านรัฐบาลโดยตรง หากเป็นการสำแดงพลังในการชุมนุมของประชาชนเพื่อเรียกร้องหาความเป็นธรรม หรือเป็นดังการนำเสนอประเด็นให้แก่สังคมต้องพิจารณา การชุมนุมเช่นนี้ก็อาจกลายเป็น “หมุดหมาย” ทางการเมืองของสังคมนั้นไม่แตกต่างจากการประท้วงใหญ่เช่นที่กล่าวแล้ว ดังจะเห็นได้จากกรณีการชุมนุมใหญ่ที่กรุงวอชิงตันในปี 1963 เป็นต้น

แต่ถ้าการประท้วงในรัฐอำนาจนิยมถูกยกระดับขึ้นจนนำไปสู่ “การลุกขึ้นสู้ของประชาชน” แล้ว เราอาจกล่าวเป็นข้อสังเกตได้ว่า การลุกขึ้นสู้ของประชาชนซึ่งมีลักษณะเป็น “popular uprising” เป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองในตัวเองเสมอ และในบางกรณีก็กลายเป็นประวัติศาสตร์โลกไปด้วย หรืออาจกล่าวในอีกด้านได้ว่า การลุกขึ้นสู้ของประชาชนคือพลังที่ผลักดัน “กงล้อประวัติศาสตร์” ให้เคลื่อนตัวไปข้างหน้า แม้ว่าในบางกรณีฝ่ายประชาชนอาจจะประสบกับการถูกปราบปรามอย่างรุนแรง และก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างหนัก แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็บ่งบอกถึงการมาของ “กระแสลมแห่งความเปลี่ยนแปลง” ที่กำลังพัดในสังคมนั้นอย่างชัดเจน

การลุกขึ้นสู้ของประชาชนในอดีต

หากย้อนกลับไปดูในอดีต เราจะเห็นตัวอย่างสังเขปของการประท้วงใหญ่ที่ส่งผลในทางการเมืองมากมาย แต่ในบทนี้จะทดลองนำเสนอบางส่วนอย่างสังเขป เช่น

– การโค่นล้มระบอบซาร์รัสเซีย : การประท้วงใหญ่ต่อระบอบการปกครองแบบเผด็จการของพระเจ้าซาร์ในรัสเซียในต้นปี 1917 แต่ความดึงดันที่จะเหนี่ยวรั้งการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้นำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างประชาชนกับอำนาจรัฐของพระเจ้าซาร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาวะของความเป็นรัฐบาลอำนาจนิยมในระบอบการปกครองเก่าที่ไร้ประสิทธิภาพเป็น “เชื้อไฟ” อย่างดีกับการประท้วง แม้รัฐบาลจะใช้มาตรการปราบปรามด้วยกำลังตำรวจ แต่ก็เป็นเพียงชัยชนะชั่วคราว เพราะเมื่อตำรวจเปิดการยิงใส่ผู้ชุมนุมแล้ว ทหารส่วนหนึ่งได้ตัดสินใจเข้าร่วมการประท้วงกับประชาชน จนสุดท้ายรัฐบาลของพระเจ้าซาร์ต้องสิ้นสุดลง

การประท้วงในปี 1917 สะท้อนให้เห็นว่าคำสั่งในการปราบปรามผู้ประท้วงไม่ใช่คำตอบของชัยชนะทางการเมือง และเมื่อตำรวจลั่นกระสุนสังหารประชาชนบนถนน เมื่อนั้นความตายของประชาชนบนถนนได้เป็นปัจจัยที่ดึงให้กำลังพลในกองทัพเข้าร่วมกับประชาชนในการต่อต้านระบอบเก่า และเมื่อทหารเข้าร่วมกับประชาชนในการต่อต้านระบอบการปกครองเดิมแล้ว รัฐบาลในระบอบนั้นก็เดินทางไปสู่จุดจบ และนำไปสู่เหตุการณ์สำคัญของโลกในต้นศตวรรษที่ 20 คือ “การปฏิวัติรัสเซีย” อันเป็นหนึ่งในการปฏิวัติทางสังคม (social revolution) ชุดใหญ่ของโลกที่อาจจะเป็นรองจาก “การปฏิวัติฝรั่งเศส” เท่านั้น

– การประท้วงเพื่อเอกราชอินเดีย : การเรียกร้องเอกราชของอินเดียที่นำโดยมหาตมะ คานธี ในช่วงเวลาจากปี 1930-1947 ก็อาศัยการประท้วงใหญ่เป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมอังกฤษ การประท้วงครั้งนั้นได้กลายเป็นตัวแบบสำคัญของการประท้วงในแบบที่เป็น “อหิงสา” และกลายเป็นแรงกดดันอย่างสำคัญกับรัฐบาลลอนดอน จนต้องสละอำนาจการปกครอง และนำไปสู่การได้รับเอกราชของอินเดียในเวลาต่อมา

การประท้วงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชเสมอ และแน่นอนว่าในบางประเทศ การประท้วงที่ไม่ประสบความสําเร็จจะยกระดับขึ้นไปสู่การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ ดังเช่นสงครามเรียกร้องเอกราชในเวียดนาม หรือในแอลจีเรีย เป็นต้น แต่สิ่งที่โลกปฏิเสธไม่ได้คือ บทบาทในการนำของประชาชนชาวอินเดีย

– การเดินสู่วอชิงตัน : การเรียกร้องสิทธิของคนผิวดำในสังคมอเมริกันภาคใต้ที่นำโดย ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ในช่วงทศวรรษที่ 6 เปิดการเคลื่อนไหวด้วยการใช้การประท้วงใหญ่เป็นเครื่องมือของการเรียกร้อง ดังจะเห็นได้ว่าในที่สุดแล้วการชุมนุมประท้วงใหญ่ที่เรียกว่า “การเดินสู่วอชิงตัน” (March on Washington) ในปี 1963 เป็นหนึ่งในภาพประวัติศาสตร์การเมืองที่สำคัญของสังคมอเมริกันในการต่อสู้เรื่องความเท่าเทียมของสีผิว และรวมทั้งการต่อสู้ในเรื่องของสิทธิในการทำงาน การชุมนุมใหญ่ที่วอชิงตันดึงนักเคลื่อนไหวทางการเมืองจากมุมต่างๆของสังคมอเมริกันเข้าร่วมการต่อสู้ อันถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของการเรียกร้องสิทธิทางการเมือง โดยมีวลีทองจากคำกล่าวของ ดร.คิง ว่า “I have a dream” (ฉันมีความฝัน) เป็นมรดกของการต่อสู้

การประท้วงครั้งนี้มีคนเข้าร่วมมากกว่า 2,600,000 คน และเป็นแรงกดดันสำคัญให้รัฐบาลอเมริกันออกกฎหมายสิทธิพลเมืองในปี 1964 และกฎหมายสิทธิการเลือกตั้งในปี 1965 กฎหมายนี้คุ้มครองสิทธิของคนผิวสี และเป็นหลักประกันว่าคนผิวดำมีสิทธิทางการเมืองที่จะมีตัวแทนของพวกเขาในรัฐบาล

– ฤดูใบไม้ผลิที่ปราก : การต่อสู้เพื่อให้เกิดความเป็นเสรีนิยมได้พามวลชนเป็นจำนวนมากลงบนถนนในกรุงปราก ในปี 1968 โดยผู้นำเชโกสโลวาเกียพยายามผลักดันให้เกิดการปฏิรูปทางการเมือง เพื่อให้ประชาชนมีเสรีภาพและสิทธิทางการเมือง แต่การปฏิรูปเช่นนี้ถูกผู้นำสหภาพโซเวียตมองว่าเป็น “การต่อต้านการปฏิวัติ” (counterrevolution) และเป็นภัยคุกคาม และนำไปสู่การส่งกำลังทหารพร้อมรถถังเข้าสลายการชุมนุมที่ปราก

การส่งกำลังทหารโซเวียตเพื่อยุติกระบวนการสร้างประชาธิปไตยครั้งนี้ เป็นคำตอบที่ชัดเจนว่าการเรียกร้องเสรีภาพและสิทธิทางการเมืองในค่ายสังคมนิยมเป็นสิ่งที่จะไม่ได้รับอนุญาตจากโซเวียตเป็นอันขาด แม้การชุมนุมของประชาชนไม่มีทางรับมือกับอำนาจของรถถังโซเวียตได้เลย แต่ความพ่ายแพ้ของผู้ชุมนุมไม่ได้ทำให้เครดิตทางการเมืองของการต่อสู้ลดลง และได้รับการยกย่องให้เป็น “ฤดูใบไม้ผลิที่ปราก” (The Prague Spring) หรือถือเป็น “ฤดูใบไม้ผลิทางการเมือง” ของโลกสมัยใหม่

– การต่อต้านระบอบชาห์อิหร่าน : ระบอบอำนาจนิยมของอิหร่านเผชิญกับวิกฤตการเมืองครั้งสำคัญในปี 1978-1979 เมื่อประชาชนเป็นจำนวนมากตัดสินใจออกมาบนถนนอย่างไม่เกรงกลัวกับการปราบปราม จนระบอบเก่าที่เข้มแข็งต้องล้มลง และนำไปสู่การจัดตั้งสาธารณรัฐอิสลามในต้นปี 1979 การประท้วงที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ครั้งนี้เกิดผลอย่างมีนัยสำคัญจนถูกเรียกว่า “การปฏิวัติอิหร่าน” และเป็นมากกว่าฤดูใบไม้ผลิ

– การประท้วงใหญ่ในฟิลิปปินส์ : การโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการของประธานาธิบดีมาร์กอสในฟิลิปปินส์ในปี 1986 ก็ใช้การประท้วงใหญ่เป็นเครื่องมือ และการประท้วงที่เกิดขึ้นในกรุงมะนิลากลายเป็นการรวมคนในสาขาอาชีพต่างๆที่ไม่ยอมรับรัฐบาลเผด็จการออกมาสู่เวทีการประท้วงบนถนน

– การประท้วงเผด็จการทหารในชิลี : การประท้วงเช่นนี้ยังเห็นได้จากการต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหารของประธานาธิบดีปิโนเชต์ในชิลีในปี 1988 แม้ระบอบการปกครองของทหารในชิลีจะมีความเข้มแข็ง แต่การประท้วงใหญ่ก็เป็นสัญญาณของความคลอนแคลนของอำนาจของทหาร หรือเป็นสัญญาณของการที่สังคมไม่กลัวกับอำนาจรัฐเผด็จการ และคนกล้าที่จะออกมาบนถนนเพื่อแสดงความเห็นต่าง

– คนงานประท้วงคอมมิวนิสต์โปแลนด์ : การก่อการประท้วงใหญ่ของคนงานท่าเรือในโปแลนด์ในปี 1980 จนถึงปี 1989 ที่ไม่เพียงทำให้รัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์โปแลนด์ต้องเผชิญปัญหาความชอบธรรมเท่านั้น หากยังส่งผลถึงอำนาจทางการเมืองของรัฐบาลสหภาพโซเวียตในการควบคุมโปแลนด์อีกด้วย จนอาจต้องถือว่าการประท้วงใหญ่ที่เกิดขึ้นในโปแลนด์คือสัญญาณการเริ่มต้นของอำนาจของโซเวียตที่เริ่มถดถอยลง และเป็นดังจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการสิ้นสุดของสงครามเย็นในปลายปี 1991

– การประท้วงแบ่งแยกผิว : การต่อสู้กับลัทธิแบ่งแยกผิวในแอฟริกาใต้ในช่วงทศวรรษ 1980 ได้ใช้การประท้วงใหญ่เป็นเครื่องมือของการต่อสู้เช่นกัน จนในท้ายที่สุดได้ทำให้รัฐบาลของคนผิวขาวต้องสิ้นสุดลง

– ฤดูใบไม้ผลิกลางทะเลทราย : หนึ่งในปรากฏการณ์การประท้วงครั้งสำคัญของการเมืองโลกร่วมสมัยคือ การลุกขึ้นสู้ของชาวอาหรับ ที่เริ่มต้นขึ้นจากการประท้วงใหญ่ในตูนิเซียในช่วงปลายปี 2010 ขยายตัวไปสู่อียิปต์ในต้นปี 2011 และขยายตัวไปในโลกตะวันออกกลาง จนต้องถือเป็นเหตุการณ์สำคัญของโลกในศตวรรษที่ 21 ที่การประท้วงใหญ่ของประชาชนนำไปสู่การล้มระบอบเผด็จการในโลกอาหรับ จนถูกเรียกว่าเป็น “อาหรับสปริง” หรือเป็นดังการมาของ “ฤดูใบไม้ผลิในโลกอาหรับ” (The Arab Spring) แม้ในอีกด้านของอาหรับสปริงอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ เช่น ในกรณีของลิเบีย และซีเรีย เป็นต้น

การต่อสู้ด้วยการ “ลงถนน” ของคนเป็นจำนวนมากในโลกอาหรับได้กลายเป็นแรงบันดาลใจทางการเมืองครั้งสำคัญสำหรับการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในเวทีโลก แม้ความสำเร็จจะไม่เกิดขึ้นทั่วทั้งภูมิภาคได้จริง และในที่สุดรัฐประหารจะหวนคืนในการเมืองอียิปต์ในปี 2013 แต่ภาพการต่อสู้ของชาวอาหรับก็ยังเป็นตัวแทนของการต่อสู้กับระบอบเผด็จการเสมอ โดยเฉพาะการโค่นล้มระบอบเผด็จการในภูมิภาคตะวันออกกลางที่เดิมเคยมีความเชื่อว่าเป็นระบอบเผด็จการที่โค่นล้มไม่ได้

– ฤดูใบไม้ผลิบนเกาะเล็กๆ : การประท้วงใหญ่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2014 และประท้วงใหญ่อีกครั้งในปี 2019 ต่อการขยายอิทธิพลของจีนในฮ่องกงจนทำให้รัฐบาลฮ่องกงมีความเป็นอำนาจนิยมมากขึ้นนั้น สะท้อนให้เห็นถึงการรวมคนระหว่างนักศึกษากับประชาชนฮ่องกง ที่พวกเขาไม่ยอมรับต่อความพยายามที่จะทำให้ฮ่องกงอยู่ภายใต้รูปแบบการปกครองของรัฐบาลปักกิ่ง เพราะหลักการเดิมที่ถูกนำเสนอคือ “หนึ่งประเทศ สองระบบ”

การประท้วงใหญ่ในฮ่องกงได้รับการยกย่องว่าเป็น “ฮ่องกงสปริง” แต่ดูเหมือนทุกคนจะรู้ดีว่าการต่อสู้ของพวกเขาไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประสบชัยชนะ เพราะเขาต่อสู้กับรัฐบาลอำนาจนิยมที่เข้มแข็งที่สุดคือ รัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีจุดยืนชัดเจนที่จะไม่ยอมรับการปฏิรูปทางการเมืองในฮ่องกง และขณะเดียวกันก็ไม่ยอมรับที่ฮ่องกงจะมีทิศทางที่เป็นเสรีนิยมมากขึ้น จีนต้องการฮ่องกงที่อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของคณะผู้บริหารที่เป็น “ปีกนิยมจีน” หรือเป็นฮ่องกงที่มีแต่ “ฤดูหนาว” เท่านั้น

– ฤดูใบไม้ผลิและความสูญเสียที่เมียนมา : การชุมนุมใหญ่หลังรัฐประหาร 2021 ในเมียนมา ของประชาชนจากสาขาอาชีพต่างๆ และจากกลุ่มการเมืองต่างๆ วันนี้คนไม่กลัวการปราบปราม แม้จะมีการเสียชีวิตและการถูกจับกุมเป็นจำนวนมากก็ตาม แต่คนก็ยังลงถนนไม่หยุด จนเป็นเสมือน “ฤดูใบไม้ผลิ” กำลังเบ่งบาน และพิสูจน์ถึง “อำนาจประชาชนกับอำนาจปืน”

การต่อสู้ในอนาคต!

เหตุการณ์ที่ถูกหยิบยกมาในข้างต้นก็เพื่อชี้ให้เห็นถึงบทบาทของปัจจัยการประท้วงใหญ่ในสังคมที่มีความคาดหวังว่าการประท้วงจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ดังได้กล่าวแล้วว่า ชัยชนะของการประท้วงใหญ่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเสมอ แม้ในบางกรณีผลสืบเนื่องอาจจะไม่ได้เป็นไปตามความหวัง และประสบความพ่ายแพ้ ดังตัวอย่างเช่นกรณี “ฤดูใบไม้ผลิที่ปราก” ที่นำไปสู่การใช้กำลังของกองทัพโซเวียตเข้าปราบปรามผู้เรียกร้องเสรีภาพชาวเช็กอย่างรุนแรง ซึ่งวันนี้อาจจะไม่ต่างกับการต่อสู้อย่างเข้มแข็งของคนหนุ่มสาวต่อรัฐบาลทหารเมียนมาที่ประสบความสูญเสียอย่างมาก แต่พวกเขาก็ไม่ย่อท้อ สงครามการเรียกร้องประชาธิปไตยในเมียนมายังดำเนินไปอย่างเข้มข้น

นอกจากนี้เราอาจจะต้องยอมรับว่า สงครามยูเครนในปัจจุบันเป็นผลผลิตที่ตามมาจาก “การปฏิวัติยูโรไมดาน” (The EuroMaidan Revolution) ที่เกิดจากการเรียกร้องของคนหนุ่มสาวในการสร้างประชาธิปไตยในยูเครนในปี 2014 เพราะชัยชนะของกระแสประชาธิปไตยเสรีนิยม (Liberal Democracy) ที่ยูเครนนั้น คือความพ่ายแพ้ของระบอบอำนาจนิยมรัสเซีย จนสุดท้ายรัสเซียต้องใช้สงครามเป็นเครื่องมือจัดการกับการเติบโตของกระแสประชาธิปไตยในยูเครน ซึ่งหากปล่อยไว้อาจจะกลายเป็น “เชื้อไฟ” ที่ช่วยจุดกระแสประชาธิปไตยในสังคมรัสเซียเองด้วย

เราอาจจะต้องยอมรับความจริงที่ขมขื่นใจประการหนึ่งว่า ภาพการลุกขึ้นสู้ของประชาชนเป็นจำนวนมากที่กล้าท้าทายต่อระบอบเผด็จการ ต้องถือว่าความอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิกำลังมาเยือนแล้ว จนต้องถือว่าการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเสรีภาพอย่างกล้าหาญเป็นความสำเร็จในตัวเอง แม้ในบางกรณีอาจจะไม่สามารถนำไปสู่การโค่นล้มระบอบเผด็จการได้ก็ตาม เช่น กระแสลมของฤดูใบไม้ผลิจากฮ่องกงไม่มีทางที่จะมีลมแรงพัดจนทำให้รัฐบาลปักกิ่งต้องล้มไปด้วย หรือแม้กระทั่งการต่อต้านการ “ล้อมปราบ” ของรัฐบาลทหารเมียนมาอย่างหนัก ก็มิได้หมายความว่าฤดูใบไม้ผลิเมียนมาจะพัดแรงพอที่จะทำให้ไฟของสงครามกลางเมืองลดความร้อนระอุลงแต่ประการใด

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้บอกเล่าเรื่องราวแต่เพียงประการเดียวคือ การต่อสู้กับอำนาจรัฐเผด็จการยังคงดำเนินต่อไป … ไฟสงครามการเมืองไม่เคยมอดดับ และมีการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ที่ผนวกเข้ากับผู้รักความเป็นธรรมเข้ามาเติมช่วยเป็น “เชื้อไฟ” อย่างดีให้กับการต่อสู้ที่เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง!

การลุกขึ้นสู้ในการเมืองไทย!

สังคมการเมืองไทยเองก็เคยเห็นความสำเร็จของการลุกขึ้นสู้ของนักศึกษาประชาชนอย่างกล้าหาญในปี 1973 (พ.ศ. 2516) และยังประสบความสำเร็จอีกครั้งในปี 1992 (พ.ศ. 2535) แม้จะมีการรัฐประหารเกิดขึ้นหลายครั้งในการเมืองไทย แต่เราก็สามารถล้มระบอบเผด็จการได้ถึง 2 ครั้ง … สังคมไทยได้เห็นถึงการมาเยือนของ “ฤดูใบไม้ผลิ” ทางการเมืองถึง 2 ครั้ง แม้ในอีกด้านเราจะเผชิญกับการรัฐประหารอย่างต่อเนื่อง จนเป็นดังการเดินใน “เขาวงกต” ของระบอบทหารที่ไม่จบสิ้น และแม้การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยยังประสบการล้มลุกคลุกคลานอย่างต่อเนื่อง อันนำไปสู่การกำเนิดของ “ระบอบพันทาง” (hybrid regime) หรืออาจเรียกในทางทฤษฎีว่า “ระบอบกึ่งอำนาจนิยม” (semi-authoritarian regime) ในการเมืองไทยปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลผลิตโดยตรงของการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร 2014 เนื่องจากผู้นำรัฐประหารไทยไม่เคยคิดที่จะลงจากอำนาจอย่างแท้จริง พวกเขาจึงคิดสร้างกลไกรองรับต่อการมีอำนาจต่อเนื่อง จนอาจกล่าวได้เสมอว่า การเมืองไทยยัง “ติดกับดัก” อยู่กับวงจรอำนาจของผู้นำทหารไม่สิ้นสุด

แม้ “ฤดูใบไม้ผลิครั้งที่ 3” ในการเมืองไทยจะยังไม่มา แต่ฤดูหนาวที่บรรดาชนชั้นนำ ผู้นำทหารปีกขวา และกลุ่มพลเรือนอนุรักษ์นิยม เคย “แช่แข็ง” การเมืองไทยไว้นั้น ก็ไม่อาจดำรงภาวะ “ฤดูหนาว” ทางการเมืองไว้ได้ตลอดไป เสียงเรียกร้องทางการเมืองมีแต่ดังขึ้นไม่หยุด ภายใต้วิกฤตต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งภายนอกและภายในรัฐ จนวันนี้ “ระบอบกึ่งอำนาจนิยม” หรือที่เรียกในอีกทางว่า “ระบอบสืบทอดอำนาจ” นั้น เผชิญกับความท้าทายอย่างมาก เพราะรัฐบาลพันทางของผู้นำรัฐประหารไม่เคยประสบผลสำเร็จในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคต

ดังนั้น ถ้าต้องให้ประชาชนตัดสินอนาคตของบรรดาผู้นำเหล่านี้ในอนาคต ไม่ว่าการตัดสินนี้จะเกิดจาก “บัตรเลือกตั้ง” หรือเกิดจาก “พลังบนถนน” ก็ตาม ผลของการตัดสินไม่น่าจะเป็นบวกกับพวกเขาเท่าใดนัก อันทำให้อนาคตการเมืองไทยในปี 2023 (พ.ศ. 2566) จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะท้าทายต่ออนาคตของผู้นำทหารที่อยู่ในการเมืองไทยได้ด้วยการ “สืบทอดอำนาจ” อย่างไม่เคยมีมาก่อน อนาคตและความอยู่รอดของระบอบพันทางไทยจึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

ท้ายบท

ในเงื่อนไขของการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย ขอเพียงประชาชนกล้าลุกขึ้นสู้ สุดท้ายแล้ว “ฤดูหนาว” ที่หนาวเหน็บจะถูกทำลายลงอย่างแน่นอน เช่นที่เราเห็นมาแล้วว่าระบอบอำนาจนิยมที่เข้มแข็งที่สุดในประวัติศาสตร์เคยถูกทำลายลงด้วย “อำนาจเท้าของประชาชนบนถนน” มาแล้ว และชัยชนะเช่นนี้จะพาสังคมย่างก้าวสู่ “ฤดูใบไม้ผลิ” ทางการเมืองได้อย่างแน่นอน …

บทความนี้ขอคารวะต่อการต่อสู้เรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตยของประชาชนทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในประเทศใดก็ตาม อีกทั้งไม่จำเป็นว่าพวกเขาจะชนะในการต่อสู้ที่เกิดขึ้นหรือไม่ ขอเพียงพวกเขาเหล่านั้นกล้าที่จะเดิน “ลงถนน” … ขอเพียงกล้าที่จะ “ประกาศเจตนารมณ์” ทางการเมือง อันจะเป็นดังการแสดงประชามติของประชาชนร่วมกันที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ใช่การต้องยอมจำนนอยู่กับ “อำนาจรัฐเผด็จการ” ที่ใช้กดหัวประชาชน

สำหรับอนาคตแล้ว ทางเลือกของประชาชนน่าจะมีอยู่ 2 เส้นทางคือ 1) “การลงถนน” ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งของการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างฉับพลัน และ 2) “การลงเสียง” ด้วยการปฏิเสธบรรดาผู้สืบทอดอำนาจด้วยกระบวนการเลือกตั้งก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเช่นกัน แต่ทางเลือกเช่นนี้ในอีกด้านก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกลุ่มผู้มีอำนาจทางการเมืองด้วยว่า พวกเขาจะเปิดทางเลือกเส้นไหนสำหรับประชาชน

สุดท้ายแล้วเราอาจต้องยอมรับว่าเส้นทางอนาคตการเมืองไทยในปี 2023 (พ.ศ. 2566) ดูจะเป็น “ทางแพร่ง” ที่ต้องตัดสินใจเลือกว่า เราทั้งหลายปรารถนาให้สังคมไทยเดินไปในทิศทางใด และกลุ่มผู้มีอำนาจก็ต้องเลือกด้วยว่า พวกเขาต้องการให้อนาคตการเมืองไทยจบลงด้วยการประท้วงใหญ่ หรือตัดสินด้วยการเข้าคูหาเลือกตั้ง แต่ทุกคนก็หวังว่าอนาคตจะต้องไม่จบลงด้วยการรัฐประหาร เพราะสังคมไทยเดินติดกับวนอยู่ใน “เขาวงกต” ของผู้นำการยึดอำนาจนานมากเกินไปแล้ว!

บทความนี้ขอจบด้วยคำเตือนใจของโทมัส เพน (Thomas Paine, 1737-1809) นักทฤษฎีการเมืองชาวอังกฤษ ที่กล่าวในปี 1802 ที่ว่า “การเลือกหรือการถอดถอน (ทางการเมือง) คืออภิสิทธิ์ของเสรีชน” และในทำนองเดียวกัน การประท้วงทางการเมืองก็คืออภิสิทธิ์ของเสรีชนด้วย!


You must be logged in to post a comment Login

Казино левлучший портал для азартных игроков
Игровые автоматызахватывающая игра начинается сейчас
azino777испытай удачу прямо здесь
1win казинооткрой для себя мир азартных игр
Вулкан платинумавтоматы с высокой отдачей ждут тебя
Казино левгде выигрыши становятся реальностью
Игровые автоматыразвлекайся и выигрывай каждый день
азино три топоранаслаждайся адреналином от побед
Казино 1winкаждая игра — шаг к успеху
Вулкан россиятвой шанс на большой выигрыш
Казино левоснова азартного мастерства
Игровые автоматытоповые игры для каждого
Azino777только для настоящих ценителей риска
1win казинокайф от игры начинается здесь
Вулкан 24где каждый день приносит победы
Казино левновые высоты азартных эмоций
Игровые автоматыгде выигрыши реальны
азино три топорасамые горячие игры ждут
Казино 1winвыигрывайте с комфортом
Казино вулкан россияисследуй мир азартных автоматов
Казино левтвой источник азарта и выигрышей
Игровые автоматыискусство выигрыша ждет тебя
azino777почувствуй азарт и драйв
1win казиноидеальный выбор для азартных игр
Вулкан платинумиграй и побеждай с удовольствием
Казино левнаслаждайся азартом без границ
Игровые автоматылучшие призы ждут тебя
азино три топоратвоя игра начинается здесь
Казино 1winновые уровни азарта и удачи
Вулкан россияначни путь к победе прямо сейчас
Coco chat - Rejoignez nouvelles discussions enrichissantes sur Bed and Bamboo
Chatrandom - Discover exciting chats with new people on Bed and Bamboo
Chatrandom - Entdecke spannenUnterhaltungauf Bed and Bamboo
Chatrandom - Ontdek boeienchats op Bed and Bamboo
Coco chat - Partagez des moments uniques sur Hoodrich France
Chatrandom - Connect and chat on Hoodrich France
Chatrandom - Chatte mit der Hoodrich France Community
Chatrandom - Geniet van chats in Hoodrich France gemeenschap
Coco chat - Connectez-vous pour des échanges passionnants sur I’m Famous 51
Chatrandom - Meet and chat on I’m Famous 51
Chatrandom - Führe spannenGespräche auf I’m Famous 51
Chatrandom - Beleef gesprekkop I’m Famous 51
Coco chat - Discutez avec la communauté Quincaillerie Outillage Thollot
Chatrandom - Explore vibrant conversations at Quincaillerie Outillage Thollot
Chatrandom - Tritt spannendChats bei Quincaillerie Outillage Thollot bei
Chatrandom - Ga mee in boeiengesprekkbij Quincaillerie Outillage Thollot
Coco chat - Rejoignez TurboSystem pour discuter
Chatrandom - Engage in exciting chats at TurboSystem
Chatrandom - Genieße spannenChats bei TurboSystem
Chatrandom - Beleef chatplezier bij TurboSystem