วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

กสศ. เปิดข้อมูลความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาปี 65 พบรายได้ครัวเรือนนักเรียนยากจนพิเศษเฉลี่ยเหลือ 34 บาทต่อวัน

On December 22, 2022

กสศ. เปิดข้อมูลความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาปี 65 พบรายได้ครัวเรือนนักเรียนยากจนพิเศษเฉลี่ยเหลือ 34 บาทต่อวัน สวนทางเงินเฟ้อที่ลดมูลค่าเงินอุดหนุนของรัฐ ชี้การลงทุนเพิ่มโอกาสการศึกษาให้เด็กยากจน 2.5 ล้านคนมีรายได้ถึงฐานภาษี จะนำไปสู่จุดเปลี่ยนประเทศรายได้สูงใน 20 ปี

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)  ได้จัดแถลงข่าวรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาปี 2565 นำเสนอแนวโน้มผลกระทบที่เป็นจุดเสี่ยงทำให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาและข้อเสนอนโยบายสู่การฟื้นฟูระบบการศึกษาไทยให้มีความเสมอภาค โดยพบว่า ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 มีเด็กนักเรียนในระดับการศึกษาภาคบังคับ (อนุบาล – ม.3) จำนวนประมาณ 9 ล้านคน อยู่ในสังกัดของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (อปท.) กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.)

ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา รายงานว่า จากการสำรวจสถานการณ์นักเรียนยากจนพิเศษของ กสศ. ตั้งแต่ปีการศึกษา 2563-2565 พบว่า มีนักเรียนยากจนพิเศษในระดับการศึกษาภาคบังคับเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง  โดยในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 มีนักเรียนยากจนพิเศษจำนวน 994,428 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 มีจำนวน 1,174,444 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 มีจำนวน 1,244,591 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 มีจำนวน 1,301,366 คน และล่าสุดในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 มีจำนวนมากถึง 1,307,152 คน

หากพิจารณาโดยใช้รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า มีเด็กและเยาวชนอายุ 3-14 ปี จำนวนกว่า 2.5 ล้านคน อยู่ใต้เส้นความยากจน เนื่องจากมีรายได้ไม่ถึง 2,762 บาทต่อคน/เดือน และหากเปรียบเทียบข้อมูลนักเรียนยากจนพิเศษของ กสศ. ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ถึงปีการศึกษา 2565 พบว่า รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนของนักเรียนยากจนพิเศษลดลงมากถึงร้อยละ 5 โดยตัวเลขล่าสุดในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 พบว่ารายได้เฉลี่ยของครอบครัวนักเรียนยากจนพิเศษที่คัดกรองใหม่เฉพาะสังกัด สพฐ. อยู่ที่ 1,044 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นวันละ 34 บาทเท่านั้น ซึ่งมีนักเรียนกว่า 1.3 ล้านคน ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไข (ทุนเสมอภาค) จาก กสศ. และนักเรียนยากจนอีก 1.8 ล้านคน กสศ. ได้สนับสนุนผลการคัดกรองให้ต้นสังกัดจัดสรรทรัพยากรเพิ่มเติม

“จากการประมาณการของสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา โดยวิเคราะห์แนวโน้มของดัชนีราคาผู้บริโภคตามอัตราเงินเฟ้อและมูลค่าที่แท้จริง พบว่า ในปี 2563-2566 ดัชนีราคาผู้บริโภคด้านอาหารและการเดินทางมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นต้นทุนค่าใช้จ่ายจริงในการใช้ชีวิตของครัวเรือน ผู้ปกครองและนักเรียน จึงเพิ่มสูงขึ้น แม้ดัชนีราคาผู้บริโภคด้านการศึกษาจะมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยก็ตาม ดังนั้นครัวเรือนจึงมีแนวโน้มที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายประจำวันในด้านต่างๆ ที่สูงขึ้น อาจจะส่งผลต่อกำลังในการสนับสนุนการศึกษาให้บุตรหลานลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มครอบครัวผู้ยากจน ด้อยโอกาส”

ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค กล่าวว่า จากการศึกษาถึงแหล่งรายได้ของครอบครัวนักเรียนยากจนพิเศษ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 พบว่ารายได้ของผู้ปกครองร้อยละ 59 มาจากสวัสดิการรัฐและเอกชน รองลงมาร้อยละ 53.9 คือเงินเดือนหรือค่าจ้าง และรายได้จากการเกษตร คิดเป็นร้อยละ 42.4 ตามลำดับ เมื่อประมวลปัญหาของนักเรียนยากจนพิเศษซึ่งควรได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน พบว่ามีสภาพครัวเรือนที่มีภาระพึ่งพิง มีผู้พิการ เจ็บป่วยเรื้อรัง โดยมีนักเรียนยากจนพิเศษที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่กว่าร้อยละ 38 และอาศัยอยู่ในครอบครัวยากจนที่มีสมาชิก 5 คนขึ้นไป โดยที่มีผู้ปกครองลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐกว่าร้อยละ 31

“โจทย์ท้าทายของการสร้างความเสมอภาคด้านการศึกษาไทยในอนาคต ต้องพิจารณาบนพื้นฐานผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศอันเนื่องจากสถานการณ์โควิด 19 ช่วงสองสามปีผ่านมา ทุนเสมอภาคที่เคยอุดหนุนให้กับนักเรียนยากจนพิเศษในปีการศึกษา 2561 จำนวน 3,000 บาท หากคำนวณใหม่ในปี 2566 ที่มีแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อขึ้นไปร้อยละ 3.1 พบว่ามูลค่าที่แท้จริงลดลงเหลือเพียง 2,728 บาท  เช่นเดียวเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจนในระดับประถมศึกษาที่เคยอุดหนุนในปี 2554 จำนวน 1,000 บาทต่อคนต่อปี หรือวันละ 5 บาท และในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 3,000 บาทต่อคนต่อปี หรือวันละ 15 บาท คิดมูลค่าที่แท้จริงตามอัตราเงินเฟ้อในปี 2566 พบว่าเหลือเพียง 840 บาท และ 2,521 บาทตามลำดับ ซึ่งไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพและสถานการณ์เงินเฟ้อที่คาดการณ์ว่าจะสูงถึงร้อยละ 4-5 และมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นอีกในอนาคต”

เพื่อรักษามูลค่าที่แท้จริงของอัตราเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษที่ควรเป็นในปี 2565 ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ระบุว่า กสศ. เสนอว่ารับบาลควรเพิ่มอัตราเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจนในปัจจุบันที่จัดสรรให้ระดับประถมศึกษา จาก 1,000 บาท เป็น 1,190 บาท และระดับมัธยมต้น จาก 3,000 เป็น 3,300 บาท ขณะที่ทุนเสมอภาคซึ่งสนับสนุนนักเรียนในระบบการศึกษาภาคบังคับ จาก 3,000 บาท เป็น 3,300 บาท เพื่อป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษา

“ที่ผ่านมามีงานวิจัยของยูนิเซฟในปี 2015 ชี้ว่าจำนวนเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา 500,000 คน จะส่งผลต่อมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศถึง 1.7% ของ GDP หรือคิดเป็น 6,520 ล้านดอลลาร์ ส่วนข้อมูลจากงานวิจัยของ Eric Hanushek ในปี 2020 ได้ลองคำนวณว่าถ้าเด็กทุกคนในประเทศไทยบรรลุการศึกษาตามมาตรฐานสากล จะทำให้ GDP ของประเทศเติบโตได้ถึง 5.5% ไปได้ตลอดทั้งศตวรรษที่ 21 หรือในอีกทางหนึ่งถ้าไทยสามารถทำให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาเป็นศูนย์ได้สำเร็จ จะทำให้ GDP ของประเทศเพิ่มถึง 3% ไปจนสิ้นศตวรรษเช่นกัน”

จากประเด็นดังกล่าว กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ได้มีข้อเสนอนโยบายเพื่อฟื้นฟูระบบการศึกษาไทยให้มีความเสมอภาคและเกิดความยั่งยืนในอนาคต โดย ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ได้ประเมินสถานการณ์ความยากจนในปี 2565 ในมิติกำลังซื้อทางการศึกษาว่าเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันเด็กหลุดออกจากระบบ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในระบบการศึกษา ด้วยมุมมองการลงทุนเพื่อพยุงอำนาจและกำลังซื้อให้ผู้ปกครองยังคงมีกำลังส่งบุตรหลานให้อยู่ในระบบการศึกษา

ดร.ไกรยส ระบุว่า ระดับการศึกษาส่งผลต่อการมีรายได้อย่างมีนัยยะสำคัญ จากผลสำรวจระดับการศึกษาของผู้ปกครองนักเรียนยากจนพิเศษภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดย กสศ. พบว่ามากกว่าร้อยละ 50 ของผู้ปกครองนักเรียนยากจนพิเศษจบการศึกษาสูงสุดเพียงระดับประถมศึกษา มีเพียงร้อยละ 0.9 เท่านั้นที่จบการศึกษาสูงสุดในระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า โดยมีค่าเฉลี่ยรายได้อยู่ที่ 1,949-3,372 บาท ขณะที่ปัจจุบันรายได้ขั้นต่ำของประชากรที่เข้าสู่ฐานภาษีเฉลี่ย 26,584 บาท/เดือน โดยมีประชากรกลุ่มนี้ประมาณ 11 ล้านคน หากสามารถทำให้นักเรียนยากจน 2.5 ล้านคนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพและมีรายได้สูงถึงฐานภาษี นอกจากจะส่งเสริมคุณภาพชีวิตยังเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมให้ดียิ่งขึ้น

“การที่ประเทศไทยมีเป้าหมายเป็นประเทศรายได้สูงใน 20 ปี รายได้เฉลี่ยขั้นต่ำของประชากรควรอยู่ที่ 38,000 บาท/เดือน แต่ปัจจุบันนี้ประชากรไทยยังมีรายได้เฉลี่ยเพียง 20,920 บาท/เดือน ดังนั้นการลงทุนด้านการศึกษาเพื่อผลักดันให้มีจำนวนการจบปริญญาตรีหรือสูงกว่าเพิ่มขึ้น การเพิ่มสมรรถนะของสถานศึกษาและการพัฒนาทุนมนุษย์ของประเทศเพื่อให้ตลาดแรงงานแข็งแรงพอที่จะยกระดับรายได้เฉลี่ยประชากรไปที่ 38,000 บาท/เดือนในอนาคต ต้องลงทุนวันนี้ เพราะถ้าไม่ลงทุนวันนี้ เราจะสูญเสียโอกาสของประเทศ นี่คือค่าเสียโอกาสที่น่าเสียดายที่สุด”

ดร.ไกรยส นำเสนอการวิเคราะห์ข้อมูลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 โดย กสศ. พบว่า วุฒิการศึกษาที่สูงขึ้นส่งให้มีรายได้ตลอดช่วงชีวิตการทำงานเพิ่มขึ้น โดยหากประชากรวัยแรงงานในประเทศไทยมีวุฒิการศึกษาประถมศึกษาปีที่ 6 จะมีรายได้เฉลี่ย 9,136 บาท/เดือน หากมีวุฒิการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 3 จะมีรายได้เฉลี่ย 10,766 บาท/เดือน ขณะที่วุฒิมัธยมศึกษาปีที่ 6 จะมีรายได้เฉลี่ย 13,118 บาท/เดือน และวุฒิปริญญาตรี จะมีรายได้เฉลี่ย 27,132 บาท/เดือน

ทั้งนี้ ข้อมูลจากระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ iSEE ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือของ กสศ. ที่สะท้อนให้เห็นสถานการณ์ของความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในประเทศไทย พบว่า ในปีการศึกษา 2561 ที่มีนักเรียนชั้น ม.3 ได้รับทุนเสมอภาคจาก กสศ. และทุนอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนจาก สพฐ. รวม 148,021 คน นักเรียนกลุ่มนี้เรียนอยู่ชั้น ม.6 ในปีการศึกษา 2564 จำนวน 62,042 คน และ กสศ. ได้เชื่อมโยงข้อมูลนักเรียนที่เข้าศึกษาต่อผ่านระบบการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา (TCAS) พบว่า มีเด็กที่ได้รับความช่วยเหลือจากการคัดกรองนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษของ กสศ. เมื่อปีการศึกษา 2561 ยืนยันสิทธิ์ผ่านระบบ TCAS ในปีการศึกษา 2565 จำนวน 20,018 คน คิดเป็นร้อยละ 14 ของจำนวนนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษที่ยืนยันสิทธิ์เข้าศึกษาต่อ กระจายอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาจำนวน 75 แห่ง

ดร.ไกรยส กล่าวว่า กสศ. ได้ใช้แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ในการประเมินว่าหากเด็กนักเรียนทั้ง 20,018 คน สามารถสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จะทำให้รายได้ตลอดช่วงชีวิตของพวกเขาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นถึง 66,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.3 ล้านบาท/คน เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขถ้าสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย ขณะเดียวกัน หากคำนวณต้นทุนที่ต้องช่วยสนับสนุนให้พวกเขาสามารถเรียนจนสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีได้ในภาพรวม อยู่ที่ประมาณ 8,200 ล้านบาท หรือคิดเป็น 410,000 บาท/คน ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนกลับคืนสู่ระบบเศรษฐกิจกว่า 7 เท่า

“สรุปได้ว่าความเหลื่อมล้ำทางการศึกษากับการพัฒนาประเทศออกจากกับดักรายได้ปานกลางเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะยิ่งมีเด็กเยาวชนไปถึงการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นมากเท่าไร เราจะไปสู่ประเทศรายได้สูงได้เร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น ดังนั้น การลงทุนกับการศึกษาถือเป็นความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ”

ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า ข้อมูลข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า แนวทางฟื้นฟูระบบการศึกษาไทยให้มีความเสมอภาคและเกิดความยั่งยืนในอนาคต คือ การลงทุนทำให้ประเทศไทยมีฐานภาษีที่กว้างขึ้นจากการพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีรายได้มากขึ้น โดยมีข้อเสนอว่า นอกจากการจัดสวัสดิการด้านการศึกษาแบบเท่ากันทุกคน (Universal) ด้วยฐานงบประมาณเรียนฟรี 15 ปีแล้ว ควรให้ความสำคัญกับการจัดสวัสดิการแบบมุ่งเป้า (Targeting) หรือการเพิ่มอัตราเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไขติดตามการคงอยู่ในระบบการศึกษาประกอบกัน ซึ่งการลงทุนด้านการศึกษาจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดย กสศ. ได้สรุปข้อเสนอ 3 รูปแบบ ดังนี้

1.) ข้อเสนอด้านอัตราอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษ สำหรับงบประมาณ 2567

  • ปรับปรุงอัตราเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจน (เรียนฟรี 15 ปี) โดยจัดให้ระดับอนุบาล 1,000 บาท / ระดับประถม 1,00 บาท / ระดับมัธยมต้น 4,000 บาท / ระดับมัธยมปลาย 9,000 บาท
  • ปรับปรุงอัตราทุนเสมอภาค เริ่มตั้งแต่ระดับการศึกษาปฐมวัย-มัธยมปลาย โดยจัดให้รายหัว ระดับอนุบาล 4,000 บาท / ระดับประถม 5,100 บาท / ระดับมัธยมต้น 4,500 บาท / ระดับมัธยมปลาย 9,100 บาท

2.) ข้อเสนอเชิงคุณภาพ

  • การจัดสรรเป็นเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไข เพื่อติดตามผลการคงอยู่ในระบบการศึกษาของผู้เรียนและการศึกษาต่อหลังขั้นพื้นฐาน รวมถึงติดตามผลด้านพัฒนาการด้านกายภาพและการเรียนรู้
  • การเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลและระบบส่งต่อการทำงานและติดตามนักเรียนอย่างต่อเนื่อง ป้องกันการหลุดออกจากระบบซ้ำ โดยเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง 7 กระทรวง เพื่อต่อยอดจากโครงการพาน้องกลับมาเรียน
  • จัดทำมาตรการสร้างแรงจูงใจเพื่อส่งเสริมการระดมงบประมาณ/ทรัพยากร จาก อปท. และการบริจาคจากภาคเอกชนเพื่อลดภาระทางการคลังของประเทศ
  •  

3.) เป้าหมายในอนาคต

  • เพิ่มอัตราการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่าของนักเรียนยากจน/ยากจนพิเศษให้สูงกว่าร้อยละ 20 ภายใน 5 ปี
  • เยาวชนจากครัวเรือนยากจน/ยากจนพิเศษ ต้องก้าวออกจากกับดักความยากจนข้ามรุ่น เข้าสู่ระบบฐานภาษีและรายได้เฉลี่ยถึงระดับรายได้สูงภายใน 10 ปี

“ข้อเสนอสำคัญคือการปรับเงินอุดหนุนให้ครอบคลุมการศึกษาขั้นพื้นฐานทุกระดับ และปรับเพิ่มให้เหมาะสมกับค่าครองชีพ โดยจุดเปลี่ยนสำคัญคือระดับ ม.ต้น ซึ่งเป็นช่วงชั้นรอยต่อที่มีเด็กหลุดจากระบบการศึกษามากที่สุด ขณะที่เงินอุดหนุนในระดับ ม.ปลาย จะช่วยดึงเด็กไว้ให้อยู่ในระบบจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน และจะทำให้มาตรการการจัดสรรเงินอุดหนุนเกิดความคุ้มค่าในระยะยาว ร่วมกับการเชื่อมโยงฐานข้อมูลส่งต่อเด็กเยาวชนตั้งแต่อนุบาลถึงมหาวิทยาลัยเป็นเวลา 20 ปี และให้รัฐบาลมีนโยบายเพิ่มแรงจูงใจภาคเอกชนในการระดมทรัพยากรมาช่วยเหลืออย่างเต็มที่ พร้อมเชื่อมโยงกับข้อมูลของกระทรวงการคลัง ดูแลไปถึงครอบครัวของเด็ก ถ้าสามารถทำได้ทั้งหมดนี้ ตัวเลข 14% ที่รายงานนำเสนอว่าคือจำนวนของเด็กยากจนและยากจนพิเศษที่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยอาจเพิ่มขึ้นได้ถึง 20% ได้ภายใน 5 ปี และเยาวชนกลุ่มนี้จะก้าวออกจากกับดักความยากจนข้ามรุ่น มีรายได้เฉลี่ยถึงระดับสูงสุดและเข้าสู่ฐานภาษีภายใน 10 ปี แล้วประเทศไทยจะออกจากกับดักรายได้ปานกลางได้เร็วขึ้น” ดร.ไกรยส กล่าว

ทั้งนี้ ดร.ไกรยส วิเคราะห์ว่า หากเด็กเยาวชนใต้เส้นความยากจน 2.5 ล้านคนเข้าสู่ฐานภาษีได้ในรุ่นตนเอง จะเพิ่มจำนวนประชากรในระบบฐานภาษีจาก 11 ล้านคน เป็น 13.5 ล้านคน ประเทศไทยจะได้รับรายได้คืนกลับมาเป็นงบประมาณที่นำไปใช้จัดสวัสดิการได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในอนาคต โดยคิดเป็นอัตราผลตอบแทนของการลงทุนแบบ IRR อยู่ที่ประมาณ 9% ซึ่งถือว่าสูงมากหากเทียบเคียงกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้า และยังสูงกว่าต้นทุนทางการเงินของรัฐประมาณ 2.7%

ด้าน ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า การแก้ปัญหาการศึกษาจำเป็นต้องแก้ไขในหลายมิติไปพร้อมกัน เพื่อแก้ปัญหาเด็กกลุ่มยากจนพิเศษหลุดจากระบบการศึกษา โดยพุ่งเป้าไปที่ปัญหาต่าง ๆ การแก้ปัญหาครอบครัว ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อมโยงกับภูมิศาสตร์ของแต่ละแห่งที่แตกต่างกัน  และโจทย์สำคัญที่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องทำงานร่วมกับ กสศ. คือการพัฒนาโรงเรียนและนักเรียนให้สอดคล้องกับปัญหาของนักเรียนกลุ่มยากจนพิเศษ ให้มีระบบโภชนาการหรือมีอาหารแต่ละมื้อที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วนระหว่างมาเรียน หรือมีสื่อการเรียนการสอนที่จำเป็นต่อการเรียนที่เพียงพอ ซึ่งทั้งสองส่วนอาจจะยังมีปัญหาในกลุ่มโรงเรียนขนาดเล็ก เพราะเกิดจากการจัดสรรงบประมาณรายหัว แต่ปัจจุบันได้มีการเพิ่มงบประมาณพิเศษในกับโรงเรียนกลุ่มนี้และเด็กยากจนพิเศษ จากปกติงบอาหารกลางวันคนละ 21 บาท เป็น 34 บาท นอกจากนี้ สพฐ. ได้เร่งสร้างความร่วมมือกับ กสศ. และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยพยายามสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กทุกกลุ่มโดยเฉพาะเด็กที่มาจากครอบครัวยากจน ให้เห็นความสำคัญของการศึกษา และมีความเชื่อมั่นว่าการศึกษาที่สูงขึ้นไม่เพียงแต่จะสามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แต่ยังเป็นหลักประกันสำคัญของแต่ละครอบครัว และหลักประกันของการพัฒนาประเทศในอนาคตอีกด้วย

ดร.ดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมองเห็นเกี่ยวกับปัญหาการศึกษาสอดคล้องกับ กสศ. คือการใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ในอนาคตประเทศไทยได้กำหนดยุทธศาสตร์ประเทศ ให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ปีละ 5% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอาจไม่ตรงตามเป้า เพราะปัจจัยสำคัญคือมีแรงงานของประเทศลดลงในอนาคต รัฐบาลจึงจำเป็นต้องชดเชยแรงงานกลุ่มนี้ด้วยการหันไปพัฒนาด้านโอกาสการเข้าถึงการศึกษาที่สูงขึ้น

“กสศ.ได้แสดงให้เห็นตัวเลขที่สำคัญว่า หากประชากรโดยเฉพาะเด็กกลุ่มยากจนพิเศษมีโอกาสได้เข้าถึงการศึกษาที่สูงขึ้น ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตก็จะขยับตาม เพราะรายได้เฉลี่ยของแต่ละครอบครัวสูงขึ้น รวมถึงการศึกษาจะเป็นหลักประกันสำคัญให้ประชากรสามารถปรับตัวให้เข้ากับวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต หรือเศรษฐกิจยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย” ดร.ดอน กล่าว

ดร.ยุทธภูมิ จารุเศร์นี ผู้อำนวยการส่วนแบบจำลองและประมาณการทางเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง  กล่าวว่า แนวทางการส่งเสริมด้านการศึกษา คือทำอย่างไรถึงจะช่วยต่อยอดเด็กเยาวชนในกลุ่มหรือพื้นที่ที่มีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว ให้พัฒนาทักษะได้สุดทาง เรียนจบและมีงานในระดับสูง และในขณะเดียวกันก็ต้องลงทุนเพิ่มเติมด้านการศึกษาให้กับกลุ่มหรือพื้นที่ที่ขาดแคลนโอกาส แทนที่จะลงทุนเท่ากันกับทุกกลุ่มหรือทุกพื้นที่ ก็ใช้วิธีเติมปัจจัยพื้นฐานให้กับกลุ่มหรือพื้นที่ที่ต้องการที่สุด เป็นการกระจายความเสมอภาคออกไปให้ทั่วถึงยิ่งขึ้น

“ในด้านการลงทุนศึกษา กระทรวงการคลังจะดูเรื่องของประสิทธิภาพ เม็ดเงินที่ลงไปต้องเกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มได้ การออกแบบนโยบายด้านการศึกษาก็เช่นกัน ควรมีนโยบายการสร้างคุณค่าของการศึกษา หรือสร้างแรงจูงใจให้เด็กเข้าเรียน โดยค่อย ๆ ปรับพฤติกรรม หลักการคือกลุ่มเป้าหมายต้องมีอิสระทางความคิด สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ไม่เกิดจากการบังคับ ขณะที่รัฐอาจออกแบบนโยบายการแลกเปลี่ยน ระหว่างการเข้าเรียนกับรางวัลบางอย่าง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้อยากมาเรียน ไปจนถึงเมื่อเข้าเรียนครบทั้งสัปดาห์ หรือเรียนได้ตามเกณฑ์กำหนดในหนึ่งเทอมการศึกษา ก็อาจขยับไปให้รางวัลที่ใหญ่ขึ้น เหล่านี้เป็นการสร้างคุณค่าของการเรียนโดยไม่ต้องลงทุนในระดับโครงสร้าง และจะช่วยดึงเด็กเยาวชนไว้ในระบบได้มากยิ่งขึ้น”ดร.ยุทธภูมิ กล่าว


You must be logged in to post a comment Login