วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

นิราศซาปา: ไปผิดฤดู

On January 3, 2023

คอลัมน์ :โลกอสังหาฯ

ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย    

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 3 ม.ค. 66)

ผมไม่เคยไปซาปา เมืองตากอากาศอันหนาวเย็นของเวียดนามเลย ภริยาจึงชวนไปเที่ยวสักทีในช่วงปีใหม่ ปรากฏว่าไปผิดฤดู แย่สุด สงสัยต้องไปใหม่!?!

ในระหว่างวันที่ 26-31 ธันวาคม 2565 ผมและภริยาเดินทางไปเที่ยวซาปา อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของเวียดนาม ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองในหมอก หนาวเย็นทั้งปี  แต่ปรากฏว่าในห้วงเวลาที่ผมไปกันนั้น หมอกเต็มไปหมด แค่ระยะไม่กี่เมตรก็แทบไม่เห็นอะไรชัดแล้ว ว่ากันว่าในเดือนธันวา-มกราคม มักจะเป็นเช่นนี้ ยิ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผมไป ยิ่งหนักเป็นพิเศษ แต่สัปดาห์ก่อนหน้าอากาศก็ยังพอใช้ได้แม้จะมีหมอกบ้าง ส่วนสัปดาห์หลังจากผมกลับก็มีพยากรณ์อากาศว่าหมอกจะลดลง

ดังนั้นช่วงเวลาที่น่าเที่ยวที่สุดก็คือช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่เขาเริ่มปลูกข้าวนาขั้นบันไดสีเขียวๆ กันในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน และอีกช่วงคือฤดูใบไม้ร่วง ช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน ซึ่งนาขั้นบันไดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง รอการเก็บเกี่ยว  แต่คนไทยไปช่วงปีใหม่กันมาก แทบจะชนกันเลยก็ว่าได้ แต่ทุกคนก็ต้องผิดหวังกับสภาวะอากาศ ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่เราจะคิดไปเที่ยว เราจึงควรตรวจสอบดูก่อนว่าฤดูกาลไหนที่เหมาะสมที่จะไปเที่ยวนั่นเอง

ผมเดินทางวันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม โดยนั่งเครื่องบินจากสนามบินสุวรรณภูมิไปถึงฮานอยเวลา 5 โมงเย็น และกว่าจะผ่านพิธีการต่างๆ ก็ราว 6 โมงเย็น ก็นั่งรถแท็กซี่ราคาประมาณ 400,000 ด่อง (570 บาท) เข้ากรุงฮานอย (แพงกว่าแท็กซี่ไทยจากสุวรรณภูมิเข้ากรุงเทพมหานคร) เสียอีก แล้วก็เดินเล่น ทานอาหารและรอรถไฟออกในเวลา 4 ทุ่มเพื่อไปถึงเมืองเลากายในตอนเช้าวันอังคารที่ 27 ธันวาคม

ที่ซาปาทุกคนต้องไปด้วยรถไฟ หรือรถยนต์เป็นหลัก มีทางหลวง (ทางด่วน) จากฮานอยไปทางเมืองเลากาย (แต่คงแทบไม่มีลาวสักคน) ซึ่งเป็นเมืองชายแดนติดต่อกับจีน เป็นเมืองหลักในจังหวัดลาวกายและเมืองซาปาก็เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนี้  ผมเลือกเดินทางโดยรถไฟ เพราะเห็นตู้นอนสวยดี  แต่ถือว่าคิดผิด เพราะจากสถานีรถไฟเมืองลาวกาย ยังต้องต่อรถไปอีก  แต่ถ้านั่งรถทัวร์ไป ก็ตรงไปเมืองซาปาเลย

บนรถไฟมีแบบชั้นประหยัดที่นอนไป แต่ห้องนอนไม่ได้ตกแต่งอะไร กับห้องที่มีการตกแต่งสวยงาม แบบสี่ที่นอน กับแบบสองที่นอนต่อหนึ่งห้อง  ผมก็เลือกแบบ 4 ที่นอน มีสาวเวียดนาม และหนุ่มจีนคนหนึ่งอยู่ร่วมห้องด้วย แต่ก็ไม่มีอะไร ปกติดี  ในห้องมีกล้วยหอม 4 ลูกและน้ำ 4 ขวดสำหรับสี่คน  เขาบอกกันว่ายามนอนต้องเก็บของให้ดีด้วย เพราะบางครั้งมีคนฉวยโอกาสเข้ามาขโมยของได้ (คงเป็นเจ้าหน้าที่มากกว่า เพราะโอกาสที่คนนอกจะเล็ดรอดขึ้นรถไฟก็คงจะยาก

ที่น่าเศร้าปนขันก็คือ ก่อนถึงสถานีนิดหน่อย มีคนมาเรียกให้รับกาแฟมา 1 แก้ว (พลาสติก) ผมก็รับมาดื่ม นึกว่าเป็นบริการฟรี พอดื่มได้สักพัก ก็มีคนมาเก็บเงิน เป็นเงิน 50,000 ด่อง หรือ (70 บาท) ผมนึกในใจ (ไม่ได้ต่อว่าเขา) ว่านี่เป็นการหลอกลวงประชาชนนี่นา น่าจะบอกก่อนนะว่านี่คือบริการพิเศษ นอกเหนือจากกล้วย น้ำและค่าโดยสาร แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ว่ากัน

พอถึงสถานีลาวกาย ก็ลงมาแบบงงๆ และก็มีคนมาเชิญให้นั่งรถโดยสารขึ้นไปบนเขาก็คือเมืองซาปา สาวเวียดนามบอกว่าค่ารถเป็นเงิน 60,000 ด่อง หรือ 86 บาท โดยเป็นรถตู้ขนาด 15 ที่นั่ง) ผมก็เดินออกมาเรื่อยๆ ยังไม่ได้ตัดสินใจ แต่ก็มีคนมาชวนเป็นระยะๆ จนมาถึงหนุ่มคนหนึ่ง มาบอกว่าไปไหม ราคา 40,000 ด่อง (57 บาท) ผมก็เลยไป  เขาพาออกมานั่งรถบัสเล็กขนาด 24 ที่นั่ง ซึ่งก็ถือว่าถูกมาก ถูกกว่าค่ากาแฟบนรถไฟเสียอีก

ต่อมาพอถึงเมืองซาปา ผมก็เข้าพักที่โรงแรม Pao’s Leisure Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมที่แพงและดีที่สุด พร้อมวิวสวยที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองซาปา  มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ในร่มพร้อมน้ำอุ่น มีสวนสวยทุกชั้นแม้กระทั่งในห้อง แต่ด้วยอากาศที่ไม่เป็นใจ ปรากฏว่าไมได้เห็นวิวภูเขาสวยๆ อะไรเลย จำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งประมาณ 1 ชั่วโมง ฝนตกใหญ่ ทำให้หมอกหมายไประยะหนึ่ง มองเห็นวิวบางส่วน และดูสวยมาก แต่ก็ได้เห็นช่วงสั้นๆ จริงๆ  โรงแรมนี้ดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียวคือตั้งอยู่ห่างจากตัวเมือง ดังนั้นพอจะออกไปตัวเมือง ก็ต้องจ้างรถ (คล้ายรถกอล์ฟ) คันละ 50,000 ด่อง (70 บาท)

ตกลงในวันอังคาร (27 ธันวาคม) ทั้งวัน ผมกับศรีภริยาก็ได้แต่เข้าไปเดินเล่นในเมือง ซึ่งหมอกหนามาก แม้แต่ Sa Pa Centre ซึ่งเป็นอัฒจรรย์ขนาดใหญ่ขุดลงจากด้านหน้าของโบสถหินประจำเมือง ยังมองแทบไม่เห็นเลย ไม่ได้มีโอกาสไปขึ้นกระเช้าอย่างที่ทุกคนที่มาต้องไปดูให้ได้เลย รวมทั้งที่อื่นๆ เช่น น้ำตกขนาดใหญ่ หินแกะสลักของมนุษย์ยุคโบราณ ฯลฯ

ผมก็นั่งรอลุ้นอากาศให้ดีขึ้น แต่ก็ไม่เป็นผล ดังนั้นในวันพุธที่ 28 ธันวาคม ก็เลยตัดสินใจเข้าไปที่หมู่บ้านม้งชื่อ Cat Cat อันลือชื่อ แถมมีน้ำตกและลำธารที่ตั้งอยู่ในหุบเขาสวยงามมาก นับว่าคุ้มค่ามากที่ได้มีโอกาสมา แต่ก็แทบไม่เห็นหน้าตาของนาขั้นบันไดเลย เนื่องจากหมอกลงหนามาก พวกเราใช้เวลาอยู่ครึ่งค่อนวัน จึงลาจากมา แต่ถ้าจะเดินขึ้นก็คงไม่ไหว จึงจ้างจักรยานยนต์ขับขี่ขึ้นมาให้ ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร สนนราคาก็ 70,000 ด่อง หรือ 100 บาท แล้วก็ค่อยมาเดินเล่นในเมืองต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคมก็แล้ว อากาศก็ยังแย่อยู่ ผมและศรีภริยาจึงตัดสินใจมาเดินเล่นในเมืองหลักคือเมืองลาวกาย  แต่เวรกรรมเมืองนี้เป็นเมืองชายแดนจริงๆ ไม่มีแหล่งท่องเที่ยวอะไรเลย ยกเว้นตรงชายแดน มีป้ายชาแดน มีวัดแบบจีน-เวียดนามตั้งอยู่ ผมก็ถือโอกาสเดินบ้าง จ้างรถเป็นระยะๆ บ้างเพื่อทำความรู้จักกับเมืองนี้ ถ่ายทำคลิปมาเผยแพร่  และก็ได้พบว่าสถานีรถไฟ รถ บขส รถเมล์ ของเขาอยู่ที่เดียวกัน ซึ่งเป็นการวางผังเมืองที่ถูกต้อง  แต่ของไทยมักอยู่กันอย่างแยกส่วน สร้างความลำบากแก่ประชาชนทั่วไป

จวบจนถึงวันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม เห็นแน่ชัดแล้วว่าหมดหวังกับการรอคอยหมอกให้จางหายไป ภริยาผมเลยแนะนำให้พวกเราทิ้งตั๋วรถไฟที่จะนั่งในคืนวันศุกร์เวลา 3 ทุ่ม และจะถึงฮานอยในวันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม เวลาตีสี่ครึ่ง  ผมก็เลยทิ้งตั๋วดังกล่าว แล้วเพิ่มประสบการณ์ตนเองด้วยการนั่งรถบัส ซึ่งมีแบบนอนจากเมืองซาปาเข้าฮานอยโดยตรงเลย โดยสนนราคาเป็นเงินคนละประมาณ 500 บาท รถออกบ่ายครึ่ง และจะถึงกรุงฮานอยเวลา 6 โมงครี่งตอนค่ำ 

ผมจองช้าเลยได้ที่นั่งบน เพราะที่นั่งข้างล่างเต็ม ปรากฏว่านั่งๆ นอนๆ ตรงชั้นบน ผมรู้สึกผะอึดผะอมจะอ๊วก เพราะรถส่ายไปมาตลอด โชคดีที่ไม่อ๊วก แต่รู้สึกามึนๆ มาตลอดทาง ดังนั้นถ้าเราจองตั๋ว ต้องพยายามจองตั๋วนั่งแถวล่างจะดีกว่า ยิ่งกว่านั้นยังมีรถแบบแบ่งเป็นห้องๆ ห้องละ 2 คนอีกต่างหาก สนนราคาอาจแพงกว่าอีก 200 บาท แต่ก็มีความเป็นส่วนตัวดีและคงไม่รู้สึกอยากจะอ๊วก

รถมาถึงฮานอยจริงประมาณ 2 ทุ่มเศษๆ รถจอดแถวใกล้ๆ ทะเลสาบฮหว่างเกี๋ยมซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ผมก็เลยหาใน Google เจอโรงแรมราคา 600,000 ด่อง หรือ 800 บาท แต่พอเข้าไปถามจริง เขาลดเหลือประมาณ 700 บาท ซึ่งก็พอใช้ได้ เพราะนอนเพียงคืนเดียว ไม่ต้องสน “หน้าตา” อีกต่างหาก ก็นับว่าคุ้มทีเดียว พอเก็บของเสร็จ ก็ได้เดินเที่ยวที่ริมทะเลสาบหนึ่งรอบ มีคนอยู่พอสมควร แต่ก็ยังน้อยกว่าช่วงก่อนโควิดราว 50%

วันรุ่งขึ้น (31 ธันวาคม) ผมก็พากันเดินเล่นกับศรีภริยาที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใกล้ทะเลสาบฮหว่างเกี๋ยม เดินดูเมืองเพิ่มเติม เสร็จแล้วก็เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่สนามบิน ปรากฏว่าค่าแท็กซี่ถูกกว่าจากสนามบิน คือเป็นเงิน 250,000 ด่อง (360 บาท) เมื่อถึงสนามบินก็เช็คอิน ซึ่งผู้โดยสารก็ไม่มากนัก และเข้าไปพักผ่อนในเลาจน์ของ Priority Pass จึงถึงเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง เครื่องบินก็ออกมาจนถึงกรุงเทพมหานครก่อนเวลา 4 โมงเย็น แล้วกลับถึงบ้านเวลาประมาณ 5 โมงเย็นเอง

นี่แหละ ทริปเที่ยวปีใหม่ของผม เราจะไปไหน อาจไม่ต้องใช้ทัวร์ ไม่ต้องรอคนมาก ไม่ต้องมากคน มากความ แต่ต้องทำการบ้านให้ดีหน่อยเท่านั้น  ยังไงๆ ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีของพวกเรา


You must be logged in to post a comment Login