- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
เรื่องชีวิต ต้องคิดให้หนัก
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 30 ธ.ค. 65)
มนุษย์มิได้เป็นผู้สร้างชีวิต แต่มนุษย์มีชีวิตขึ้นมาได้เพราะมนุษย์มีวิญญาณที่พระเจ้าให้มา ชีวิตมนุษย์จึงเป็นของพระเจ้า
ไม่เพียงแต่ชีวิตมนุษย์เท่านั้น แม้แต่ชีวิตสัตว์และพืชทั้งหมดก็เป็นของพระเจ้า พระเจ้าสร้างสัตว์ขึ้นมาก็เพื่อให้มนุษย์นำเนื้อ หนัง กระดูกและตัวของมันไปใช้ประโยชน์
ชีวิตคนและสัตว์จึงมีค่าและความหมาย นั่นคือเหตุผลที่คำสอนของทุกศาสนาและกฎหมายจึงห้ามการฆ่าหรือการเอาชีวิตนอกจากจะได้รับการอนุญาตจากพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิต และการทำลายชีวิตต้องได้รับโทษด้วยชีวิตแบบตาแทนตา ฟันแทนฟันตามที่พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิตกำหนดไว้
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม หากมุสลิมจะนำเนื้อสัตว์ที่พระเจ้าประทานให้มาเป็นอาหาร มุสลิมต้องขออนุญาตต่อพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิตสัตว์ก่อนด้วยการกล่าวว่า “บิสมิลลาฮ์ อัลลอฮุอักบัรฺ” เนื้อของสัตว์นั้นจึงเป็นที่อนุญาต(ฮะลาล)ให้กิน เนื้อของสัตว์ที่เชือดโดยไม่กล่าวนามของพระเจ้าจึงถือว่าเป็นเนื้อต้องห้าม เพราะเนื้อนั้นไม่ต่างอะไรไปจากเนื้อที่ขโมยมา แม้เนื้อนั้นจะเป็นเนื้อไก่หรือเนื้อแพะ เนื้อวัวก็ตาม
ไม่เพียงเท่านั้น การล่าสัตว์เพื่อความสนุกสนาน มิใช่เพื่อนำมาเป็นอาหารก็เป็นที่ต้องห้ามด้วยเช่นกัน เพราะมันเป็นการทำลายชีวิตอย่างไร้วัตถุประสงค์
กฎหมายที่มาจากพระเจ้ากำหนดให้ลงโทษฆาตกรด้วยการประหารชีวิตก็เพื่อรักษาชีวิตอื่นๆมิให้ถูกฆ่าเพราะความต้องการแก้แค้นจากทายาทของผู้ถูกฆ่า บทบัญญัติลงโทษแบบตาแทนตา ฟันแทนฟันนี้มีกล่าวไว้ในโตราห์ที่พระเจ้าประทานแก่โมเสสซึ่งปัจจุบันสามารถพบได้ในคัมภีร์ไบเบิล ฉบับพันธสัญญาเก่า
ด้วยบทลงโทษเช่นนี้ทำให้คนที่คิดจะฆ่าคนอื่นต้องคิดแล้วคิดอีก สังคมจึงปลอดภัย
หลังสมัยของโมเสส เยซัสไครสต์ถูกส่งมายืนยันธรรมบัญญัติเดิมที่พระเจ้าประทานแก่โมเสส นั่นหมายความว่าพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิตอนุญาตให้เอาชีวิตของผู้ทำลายชีวิต
หลังสมัยเยซัสไครสต์ 570 ปี นบีมุฮัมมัดถูกส่งมาเพื่อยืนยันธรรมบัญญัติเดิมที่พระเจ้าประทานแก่โมเสสด้วยวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ เพื่อรักษาชีวิต
ในขณะที่นบีมุฮัมมัดปกครองรัฐมะดีนะฮฺด้วยกฎหมายอิสลาม ที่นั่น มีชุมชนชาวยิวอาศัยอยู่ ตามข้อตกลงที่ชาวยิวทำไว้กับนบีมุฮัมมัด หากชาวยิวเกิดกรณีพิพาท ชาวยิวจะให้นบีมุฮัมมัดเป็นผู้ตัดสิน ดังนั้น เมื่อเกิดกรณีทำร้ายร่างกายในหมู่ชาวยิว นบีมุฮัมมัดจะถามผู้รู้ชาวยิวว่ากฎหมายในคัมภีร์ของชาวยิวตัดสินอย่างไรและท่านจะตัดสินไปตามนั้น บทลงโทษในคัมภีร์ของชาวยิวจึงไม่ต่างไปจากบทลงโทษในคัมภีร์กุรอานเพราะมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน บทลงโทษนี้เรียกในภาษาอาหรับว่า “กิศอศ”
อย่างไรก็ตาม บทลงโทษประหารชีวิตฆาตกรตามกฎหมายอิสลามต้องผ่านกระบวนการยุติธรรม แต่สิ่งหนึ่งที่กฎหมายอิสลามแตกต่างไปจากกฎหมายที่มนุษย์ร่างขึ้นมาก็คือ หากศาลพิสูจน์ได้แล้วว่าฆาตกรเป็นผู้ฆ่าจริง ศาลจะให้ทายาทผู้ถูกฆ่าเลือกว่าจะให้ศาลศาลตัดสินประหารชีวิตฆาตกรตามกฎ “กิศอศ” หรือจะให้อภัยฆาตกร ถ้าทายาทเลือกให้ศาลใช้กฎ “กิศอศ” ศาลก็ต้องตัดสินประหารชีวิตฆาตกรสถานเดียว เพราะมันเป็นบทบัญญัติของพระเจ้า แต่ถ้าหากทายาทให้อภัย ศาลจะไม่ประหารชีวิตฆาตกร แต่จะใช้ดุลพินิจลงโทษฆาตกรด้วยการจำคุกหรือจ่ายค่าสินไหมแก่ทายาท หรือทั้งสองอย่าง
หลังยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ผู้มีแนวความคิดโลกานิยม(Secularism)ได้ร่างกฎหมายขึ้นมาใช้เองโดยปฏิเสธคำสอนของศาสนา หนึ่งในนั้นคือการยกเลิกบทลงโทษด้วยการประหารชีวิตและใช้คำพูดสวยงามอธิบายว่ากฎหมายลงโทษประหารชีวิตฆาตกรเป็นกฎหมายป่าเถื่อน ไร้ความเมตตา โดยลืมไปว่าความเมตตาต่อฆาตกรนั้นคือทารุณกรรมต่อเหยื่อ
เมื่อมนุษย์ร่างกฎหมายขึ้นมาเองโดยไม่คำนึงถึงพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิต การสังหารชีวิตมนุษย์ก็เริ่มแพร่หลายและรุนแรงมากขึ้น การสังหารหมู่และการเข่นฆ่าประชาชนจำนวนมากที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในสงครามรุกรานหลายครั้งทำให้ประเทศมุสลิมเริ่มคิดที่จะหันมาใช้กฎหมายอิสลาม (ชะรีอ๊ะฮฺ) ในขณะที่ชาติมหาอำนาจพยายามจะคัดค้านความคิดดังกล่าว จะด้วยเหตุผลอะไร ผู้อ่านแค่มีสมองเพียงน้อยนิดก็คิดได้
You must be logged in to post a comment Login