วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ประชาชาติสายกลาง

On February 3, 2023

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่   3 ก.พ. 66)

ในคัมภีร์กุรอานมีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า “ดังนั้น เรา(พระเจ้า)จึงได้ทำให้สูเจ้าเป็นประชาชาติสายกลางเพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้เป็นพยานต่อมนุษยชาติและศาสนทูตจะได้เป็นพยานต่อสูเจ้า (กุรอาน 2:143)

ข้อความนี้เป็นวจนะของพระเจ้าผ่านมาทางนบีมุฮัมมัดถึงมุสลิมที่อยู่ท่ามกลางพหุสังคมที่ผู้คนมีวัฒนธรรมและความเชื่อต่างกัน  พระองค์จึงต้องการให้มุสลิมรวมตัวกันสร้างประชาคมสายกลางขึ้นมาโดยการนำทางของนบีมุฮัมมัดเพื่อให้ผู้คนได้เห็นเป็นทางเลือก

คำว่า “ประชาชาติ” ในภาษาอาหรับใช้คำว่า “อุมมะฮฺ”  คำนี้หมายถึงประชาคมที่มิได้แบ่งแยกผู้คนโดยพิจารณาจากเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ สีผิว ภาษาหรือแหล่งกำเนิด  แต่หมายถึงมนุษย์ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์หรือสีผิวใด  หากมีความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวโดยไม่มีสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์และจะเชื่อฟังพระองค์ตามที่ประทานแก่นบีมุฮัมมัด  คนผู้นั้นก็เป็นสมาชิกในประชาชาติมุสลิมและได้รับสิทธิทุกอย่างตามกฎหมายอิสลาม

ส่วนคำว่าสายกลางหรือมัชฌิมานั้นหมายความว่าสมาชิกของประชาชาติมุสลิมอยู่ในสายกลางจริงๆ ไม่สุดโต่งไปทางหนึ่งทางใดซึ่งจะเห็นได้จากสิ่งต่อไปนี้

ในเรื่องความเชื่อ  มุสลิมมีความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวซึ่งเป็นความเชื่อที่อยู่ตรงกล่างระหว่างคนที่เชื่อว่าพระเจ้าไม่มีกับคนที่กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายหรือนับถือพระเจ้าหลายองค์

ในเรื่องแนวความคิดทางเศรษฐกิจ  ลัทธิทุนนิยมมีแนวความคิดว่าทรัพยากรธรรมชาติเป็นของมนุษย์  มือใครยาวสาวได้สาวเอา  ความคิดเช่นนี้ทำให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบและการกอบโกยทรัพยากรซึ่งทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนนับวันมีแต่จะกว้างขึ้นเรื่อยๆ  ส่วนลัทธิคอมมิวนิสต์มีแนวความคิดว่าทรัพยากรธรรมชาติเป็นของมนุษย์เช่นกัน  ดังนั้น ทรัพยากรธรรมชาติจึงต้องถูกแบ่งสรรปันส่วนแก่มนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน

ส่วนอิสลามมีความเชื่อว่าทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ในแผ่นดินและชั้นฟ้าเป็นของพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมไว้ให้มนุษย์  ดังนั้น มนุษย์ต้องใช้ทรัพยากรเหล่านั้นตามความประสงค์ของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของ    ในทางเศรษฐกิจ  อิสลามยอมรับกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลที่มีอยู่ในลัทธิทุนนิยมในขณะที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่ยอมรับ  อิสลามยอมรับความแตกต่างทางด้านฐานะทางเศรษฐกิจของปัจเจกบุคคล  แต่อิสลามสร้างระบบ “ซะกาต” (ภาษีศาสนา)ไว้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนรวยกับคนยากจน

ลัทธิคอมมิวนิสต์ปฏิเสธศาสนาทั้งความเชื่อและการปฏิบัติ  ส่วนลัทธิเสรีนิยมถือว่าศาสนาเป็นเรื่องส่วนบุคคล  ใครจะนับถือหรือไม่นับถือศาสนา ใครจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติศาสนาเป็นเรื่องเสรีภาพส่วนบุคคล  พิธีกรรมทางศาสนาเป็นเรื่องของพระหรือบาทหลวง  แต่ในอิสลามไม่มีสถาบันนักบวช  การปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาถือเป็นหน้าที่ของปัจเจกบุคคลและถือว่าการใช้ชีวิตประจำวันที่ดำเนินไปด้วยการทำตามที่พระเจ้าสั่งใช้และงดเว้นในสิ่งที่พระเจ้าสั่งห้ามเป็นการแสดงความเคารพสักการะพระเจ้านอกมัสยิด


You must be logged in to post a comment Login