วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ไม่เชื่อไม่เป็นไร แต่โลกหลังความตายมีจริง

On February 24, 2023

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่   24 ก.พ. 66)

ก่อนหน้านบีมุฮัมมัดเกิดในแผ่นดินอาหรับเมื่อประมาณหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อน  อาณาจักรโรมันไบแซนตินและอาณาจักรเปอร์เซียเป็นสองมหาอาณาจักรที่ทำสงครามแย่งชิงดินแดนชามซึ่งประกอบไปด้วยซีเรีย  เลบานอน จอร์แดนและปาเลสไตน์ในปัจจุบัน

สองมหาอาณาจักรนี้เป็นแหล่งอารยธรรมสำคัญของโลกในขณะที่ชาวอาหรับมีวิถีชีวิตแบบชนเผ่า  ไม่มีรัฐบาล ไม่มีกฎหมายและไม่มีความรู้ใดๆ  แต่เนื่องจากชาวอาหรับต้องเดินทางไปค้าขายที่อัชชามเมืองชุมทางการค้าที่เส้นทางสายไหมพาดผ่าน  ชาวอาหรับจึงได้รับประสบการณ์จากทั้งโลกตะวันตกและโลกตะวันออก

แม้ไม่มีอารยธรรม  แต่ชาวอาหรับยอมรับว่าพระเจ้าประทานพรให้แก่สมองของชาวกรีกและโรมัน เพราะสองชนชาตินี้เจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และมีนักปรัชญาหลายคน  และประทานพรให้แก่มือของชาวจีน  เพราะชาวจีนมีความสามารถทางด้านงานฝีมือซึ่งเห็นได้จากผลิตภัณฑ์เครื่องเคลือบดินเผาและผ้าไหม  แต่สำหรับชาวอาหรับนั้น พวกเขาทะนงว่าพระเจ้าประทานพรให้แก่ลิ้นของพวกเขา เพราะกวีชาวอาหรับสามารถใช้ภาษาที่สูงส่งและลึกซึ้งไม่มีใครเทียบได้

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพระเจ้าจึงเลือกมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตเพื่อนำคำสอนของพระองค์มาเผยแผ่สั่งสอนแก่มนุษยชาติ  ทั้งนี้เพราะชาวอาหรับรู้ดีว่านบีมุฮัมมัดไม่รู้หนังสือและคำสอนที่นบีมุฮัมมัดรับมาจากพระเจ้าในรูปของคัมภีร์กุรอานนั้นเป็นภาษาอาหรับที่ชาวอาหรับทะนงยิ่งนัก

แม้บทกวีของชาวอาหรับเป็นภาษาที่เต็มไปด้วยสำนวนโวหารระดับสูง  แต่กวีชาวอาหรับต่างยอมรับว่าภาษาของกุรอานไม่ใช่ภาษาอาหรับที่มนุษย์อย่างมุฮัมมัดแต่งขึ้น  ยิ่งความหมายของกุรอานด้วยแล้ว  มีหลายอย่างที่ชาวอาหรับไม่มีความรู้และความเข้าใจ  ไม่เพียงเท่านั้น  คัมภีร์กุรอานยังท้าทายชาวอาหรับผู้ทะนงในภาษาของตัวเองให้รวมหัวกันแต่งข้อความขึ้นมาสักบทหนึ่งให้เหมือนกับกุรอาน แต่จวบจนปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีกวีหรือนักภาษาศาสตร์ชาวอาหรับคนใดทำได้

คัมภีร์กุรอานถูกประทานมายังนบีมุฮัมมัดเพื่อเป็นคู่มือและแนวทางการใช้ชีวิตในโลกนี้เพื่อไปสู่โลกหน้าอย่างปลอดภัย  แต่โลกหลังความตายเป็นโลกที่มนุษย์ไม่เคยเห็นเพราะเมื่อใครผ่านประตูความตายไปแล้ว คนผู้นั้นไม่สามารถกลับมาบอกได้ว่าเป็นอย่างไร  ไม่ต่างจากทารกที่คลอดออกมายังโลกนี้แล้วไม่สามารถกลับไปในครรภ์แม่ได้อีก

เมื่อนบีมุฮัมมัดถูกส่งมาบอกมนุษยชาติว่าโลกหน้าซึ่งเป็นโลกแห่งอนาคตมีจริง มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อ  ด้วยเหตุนี้  พระเจ้าจึงประทานเรื่องราวของชุมชนมนุษย์ในอดีตหลายพันปีให้แก่นบีมุฮัมมัดมาบอกเล่าแก่ผู้คน และเรื่องราวเหล่านี้เป็นที่รู้กันดีในกลุ่มชนที่มีคัมภีร์ก่อนๆ ทั้งนี้เพื่อให้มนุษย์ได้คิดว่าถ้านบีมุฮัมมัดรู้ความจริงที่เกิดขึ้นในอดีต ทำไมนบีมุฮัมมัดจะไม่รู้ความจริงในอนาคตหลังความตายที่มนุษย์มองไม่เห็น  เพราะทั้งอดีตอันยาวนานและอนาคตอันยาวไกลล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดมองเห็น  อยู่ที่ว่ามนุษย์คนใดจะเชื่อคนที่มาบอกหรือไม่

คัมภีร์กุรอานไม่เพียงแต่มีเรื่องราวในอดีตเพื่อบอกมนุษย์ถึงอนาคตเท่านั้น  แต่ยังมีข้อความที่ล้ำหน้ากาลเวลาและเป็นหลักฐานท้าทายสติปัญญาของมนุษย์ที่ปฏิเสธความเชื่อในโลกหน้าด้วย

ในคัมภีร์กุรอานมีข้อความตอนหนึ่งว่า “แล้วเรา(พระเจ้า)ได้ทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิในที่พักอันมั่นคง (มดลูก) แล้วเราได้ทำให้อสุจิเป็นก้อนเลือด ก้อนเนื้อ แล้วทำก้อนเนื้อให้เป็นกระดูกแล้วหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง” (กุรอาน 23:14)

ข้อความดังกล่าวถูกประทานเมื่อพันกว่าปีที่แล้วในขณะที่ชาวอาหรับไม่มีความรู้ และสองชาติมหาอำนาจก็ยังไม่เจริญพอที่จะเข้าใจความหมายของคัมภีร์กุรอานข้างต้นเช่นกัน  แต่ปัจจุบัน  ด้วยเทคโนโลยีด้านเอ๊กซเรย์และอุลตราซาวด์  มนุษย์สามารถมองเห็นโลกในครรภ์ได้เพราะทารกมนุษย์มีเนื้อมีหนัง  แต่โลกหลังความตายเป็นโลกที่ไม่มีเทคโนโลยีใดๆสามารถมองเห็นได้ เพราะมันเป็นโลกของวิญญาณที่มนุษย์มองไม่เห็นแม้มันจะมีอยู่ในตัวมนุษย์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาแล้ว

สุดท้าย  จึงอยู่ที่มนุษย์จะตัดสินใจด้วยสติปัญญาของตัวเองว่าจะเชื่อความจริงหรือไม่ว่าโลกหลังความตายมีจริง      


You must be logged in to post a comment Login