- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 1 month ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 1 month ago
- โลกธรรมPosted 1 month ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 2 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 2 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 2 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 2 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 2 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 2 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 2 months ago
ไม่เชื่อไม่เป็นไร แต่โลกหลังความตายมีจริง

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 24 ก.พ. 66)
ก่อนหน้านบีมุฮัมมัดเกิดในแผ่นดินอาหรับเมื่อประมาณหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อน อาณาจักรโรมันไบแซนตินและอาณาจักรเปอร์เซียเป็นสองมหาอาณาจักรที่ทำสงครามแย่งชิงดินแดนชามซึ่งประกอบไปด้วยซีเรีย เลบานอน จอร์แดนและปาเลสไตน์ในปัจจุบัน
สองมหาอาณาจักรนี้เป็นแหล่งอารยธรรมสำคัญของโลกในขณะที่ชาวอาหรับมีวิถีชีวิตแบบชนเผ่า ไม่มีรัฐบาล ไม่มีกฎหมายและไม่มีความรู้ใดๆ แต่เนื่องจากชาวอาหรับต้องเดินทางไปค้าขายที่อัชชามเมืองชุมทางการค้าที่เส้นทางสายไหมพาดผ่าน ชาวอาหรับจึงได้รับประสบการณ์จากทั้งโลกตะวันตกและโลกตะวันออก
แม้ไม่มีอารยธรรม แต่ชาวอาหรับยอมรับว่าพระเจ้าประทานพรให้แก่สมองของชาวกรีกและโรมัน เพราะสองชนชาตินี้เจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และมีนักปรัชญาหลายคน และประทานพรให้แก่มือของชาวจีน เพราะชาวจีนมีความสามารถทางด้านงานฝีมือซึ่งเห็นได้จากผลิตภัณฑ์เครื่องเคลือบดินเผาและผ้าไหม แต่สำหรับชาวอาหรับนั้น พวกเขาทะนงว่าพระเจ้าประทานพรให้แก่ลิ้นของพวกเขา เพราะกวีชาวอาหรับสามารถใช้ภาษาที่สูงส่งและลึกซึ้งไม่มีใครเทียบได้
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพระเจ้าจึงเลือกมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตเพื่อนำคำสอนของพระองค์มาเผยแผ่สั่งสอนแก่มนุษยชาติ ทั้งนี้เพราะชาวอาหรับรู้ดีว่านบีมุฮัมมัดไม่รู้หนังสือและคำสอนที่นบีมุฮัมมัดรับมาจากพระเจ้าในรูปของคัมภีร์กุรอานนั้นเป็นภาษาอาหรับที่ชาวอาหรับทะนงยิ่งนัก
แม้บทกวีของชาวอาหรับเป็นภาษาที่เต็มไปด้วยสำนวนโวหารระดับสูง แต่กวีชาวอาหรับต่างยอมรับว่าภาษาของกุรอานไม่ใช่ภาษาอาหรับที่มนุษย์อย่างมุฮัมมัดแต่งขึ้น ยิ่งความหมายของกุรอานด้วยแล้ว มีหลายอย่างที่ชาวอาหรับไม่มีความรู้และความเข้าใจ ไม่เพียงเท่านั้น คัมภีร์กุรอานยังท้าทายชาวอาหรับผู้ทะนงในภาษาของตัวเองให้รวมหัวกันแต่งข้อความขึ้นมาสักบทหนึ่งให้เหมือนกับกุรอาน แต่จวบจนปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีกวีหรือนักภาษาศาสตร์ชาวอาหรับคนใดทำได้
คัมภีร์กุรอานถูกประทานมายังนบีมุฮัมมัดเพื่อเป็นคู่มือและแนวทางการใช้ชีวิตในโลกนี้เพื่อไปสู่โลกหน้าอย่างปลอดภัย แต่โลกหลังความตายเป็นโลกที่มนุษย์ไม่เคยเห็นเพราะเมื่อใครผ่านประตูความตายไปแล้ว คนผู้นั้นไม่สามารถกลับมาบอกได้ว่าเป็นอย่างไร ไม่ต่างจากทารกที่คลอดออกมายังโลกนี้แล้วไม่สามารถกลับไปในครรภ์แม่ได้อีก
เมื่อนบีมุฮัมมัดถูกส่งมาบอกมนุษยชาติว่าโลกหน้าซึ่งเป็นโลกแห่งอนาคตมีจริง มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อ ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงประทานเรื่องราวของชุมชนมนุษย์ในอดีตหลายพันปีให้แก่นบีมุฮัมมัดมาบอกเล่าแก่ผู้คน และเรื่องราวเหล่านี้เป็นที่รู้กันดีในกลุ่มชนที่มีคัมภีร์ก่อนๆ ทั้งนี้เพื่อให้มนุษย์ได้คิดว่าถ้านบีมุฮัมมัดรู้ความจริงที่เกิดขึ้นในอดีต ทำไมนบีมุฮัมมัดจะไม่รู้ความจริงในอนาคตหลังความตายที่มนุษย์มองไม่เห็น เพราะทั้งอดีตอันยาวนานและอนาคตอันยาวไกลล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดมองเห็น อยู่ที่ว่ามนุษย์คนใดจะเชื่อคนที่มาบอกหรือไม่

คัมภีร์กุรอานไม่เพียงแต่มีเรื่องราวในอดีตเพื่อบอกมนุษย์ถึงอนาคตเท่านั้น แต่ยังมีข้อความที่ล้ำหน้ากาลเวลาและเป็นหลักฐานท้าทายสติปัญญาของมนุษย์ที่ปฏิเสธความเชื่อในโลกหน้าด้วย
ในคัมภีร์กุรอานมีข้อความตอนหนึ่งว่า “แล้วเรา(พระเจ้า)ได้ทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิในที่พักอันมั่นคง (มดลูก) แล้วเราได้ทำให้อสุจิเป็นก้อนเลือด ก้อนเนื้อ แล้วทำก้อนเนื้อให้เป็นกระดูกแล้วหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง” (กุรอาน 23:14)
ข้อความดังกล่าวถูกประทานเมื่อพันกว่าปีที่แล้วในขณะที่ชาวอาหรับไม่มีความรู้ และสองชาติมหาอำนาจก็ยังไม่เจริญพอที่จะเข้าใจความหมายของคัมภีร์กุรอานข้างต้นเช่นกัน แต่ปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีด้านเอ๊กซเรย์และอุลตราซาวด์ มนุษย์สามารถมองเห็นโลกในครรภ์ได้เพราะทารกมนุษย์มีเนื้อมีหนัง แต่โลกหลังความตายเป็นโลกที่ไม่มีเทคโนโลยีใดๆสามารถมองเห็นได้ เพราะมันเป็นโลกของวิญญาณที่มนุษย์มองไม่เห็นแม้มันจะมีอยู่ในตัวมนุษย์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาแล้ว
สุดท้าย จึงอยู่ที่มนุษย์จะตัดสินใจด้วยสติปัญญาของตัวเองว่าจะเชื่อความจริงหรือไม่ว่าโลกหลังความตายมีจริง
You must be logged in to post a comment Login