- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ศีลอดเป็นอะไรมากกว่าการอดข้าวอดน้ำ
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 6 เม.ย. 66 )
การถือศีลอดด้วยการละเว้นจากการกินและดื่มดูเหมือนจะเป็นการปฏิบัติทางร่างกายภายนอก แต่ในความจริงแล้ว มันเป็นมาตรการหรือวิธีการควบคุมจิตใจมนุษย์มิให้ตอบสนองอารมณ์ฝ่ายต่ำหรือกิเลสที่เป็นเหตุแห่งทุกข์
ดังนั้น จึงมิใช่เรื่องแปลกอะไรที่ทุกวัฒนธรรมที่มีความเชื่อทางจิตวิญญาณจึงมีการถือศีลอด
ในอิสลาม การถือศีลอดด้วยการงดเว้นจากการกินและดื่มตลอดกลางวันต้องมีเจตนาว่าทำไปเพื่อพระเจ้าโดยไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง เช่น การลดน้ำหนักหรือทำไปเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองเป็นผู้ทรงศีลที่นอกจากละเว้นการกินการดื่มแล้ว ยังสละความต้องการอื่นๆด้วย
เนื่องจากการถือศีลอดอาหารและน้ำมีมาตั้งแต่สมัยโมเสส แต่เมื่อนานไป สาวกของโมเสสส่วนใหญ่ไม่ปฏิบัติตาม เยซัสไครสต์จึงถูกส่งมาเพื่อยืนยันธรรมบัญญัติเดิมที่โมเสสนำมาและปฏิบัติตามสิ่งที่โมเสสได้ทำไว้เป็นแบบอย่าง
ในสมัยของเยซัสไครสต์ ชาวยิวที่ตลบตะแลงบางคน นอกจากถือศีลอดด้วยการงดเว้นจากการกินและดื่มแล้วยังต้องการแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองเคร่งศาสนาโดยการละเว้นการแต่งกายที่สวยงามตามปรกติด้วย คนเหล่านี้จะสวมเสื้อที่ทำจากผ้ากระสอบ ปล่อยผมให้ยุ่งเหยิง มิหนำซ้ำ บางคนยังเอาฝุ่นหรือขี้เถ้าโรยบนเส้นผมและบนเสื้อผ้าด้วย
ดังนั้น เยซัสไครสต์จึงตำหนิคนที่ทำเกินความต้องการของศาสนาเหล่านี้ว่า “เมื่อท่านถืออดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ด้วยเขาทำหน้าให้มอมแมมเพื่อจะให้คนเห็นว่าเขาถืออดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้บำเหน็จของเขาแล้ว” (มัทธิว 6:16)
ความหมายที่เยซัสไครสต์ต้องการจะสื่อก็คือใครถือศีลอดด้วยการงดเว้นจากการกินและดื่มเพื่อพระเจ้าด้วยความบริสุทธิ์ใจ คนผู้นั้นก็ได้รับผลบุญตอบแทนจากพระเจ้าแล้ว การปฏิบัติศาสนกิจมิใช่การทรมานตนหรือการสร้างความลำบากให้ชีวิตจนคนอื่นรับไม่ได้
เยซัสไครสต์ยังแนะนำสานุศิษย์ของท่านในการถือศีลอดอีกว่า “ฝ่ายท่านเมื่อถืออดอาหาร จงล้างหน้าและเอาน้ำมันใส่ศีรษะ เพื่อคนจะได้ไม่รู้ว่าถืออดอาหาร แต่ให้ปรากฏแก่พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับและพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน” (มัทธิว 6:17-18)
นั่นหมายความว่าการถือศีลอดจะต้องทำไปโดยไม่ให้ใครรู้ว่าตัวเองถือศีลอดนอกจากตัวเองกับพระเจ้า การใช้ชีวิตประจำวันต้องดำเนินไปตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะถ้าหากผู้ถือศีลอดแสดงอาการอ่อนแอเหมือนไก่เป็นโรคหรือลิงป่วย คนที่รู้เห็นจะไม่อยากปฏิบัติ
การถือศีลอดถูกกำหนดมาโดยพระเจ้าผู้สร้างมนุษย์ ดังนั้น พระองค์จึงรู้ว่ามันไม่เกินความสามารถสำหรับผู้ศรัทธาจะปฏิบัติ และหากใครมีเหตุผลทางสุขภาพที่ไม่อาจทำได้ก็ได้รับการยกเว้น ความจริงในเรื่องนี้เห็นได้จากการที่นักฟุตบอลมุสลิมในอังกฤษยังสามารถลงแข่งขันฟุตบอลได้ในขณะที่กำลังถือศีลอด
ในอิสลาม การถือศีลอดยังถูกนำมาใช้ในการไถ่โทษความผิดบางอย่าง เช่น หากมุสลิมคนใดทำให้ใครคนหนึ่งเสียชีวิตโดยพลั้งผิดหรือโดยไม่เจตนา การไถ่โทษของเขาคือการ “จ่ายค่าสินไหมให้แก่ทายาทผู้เสียชีวิตและปล่อยทาสหนึ่งคนให้เป็นอิสระ แต่ถ้าไม่สามารถหาทาสได้ ต้องถือศีลอดต่อเนื่องกันเป็นเวลาสองเดือนเพื่อเป็นการสำนึกผิด” (กุรอาน 4:92)
การถือศีลอดต่อเนื่องกันเป็นเวลาสองเดือนยังถูกนำมาใช้เพื่อลงโทษมุสลิมผู้ละเมิดความศักดิ์สิทธิ์ของเดือนรอมฎอนโดยการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับภรรยาของตัวเองในเวลากลางวันระหว่างเดือนรอมฎอนด้วย
นอกจากนี้แล้ว ใครผิดคำสาบานโดยเจตนา คนผู้นั้นต้องไถ่โทษโดยการให้อาหารคนขัดสนสิบคนตามปริมาณเฉลี่ยที่ตัวเองกินหรือปลดปล่อยทาสคนหนึ่ง ถ้าหากไม่สามารถทำได้ก็ให้ถือศีลอดสามวันแทน” (กุรอาน 5:89)
You must be logged in to post a comment Login